วันอาทิตย์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

พระอัจฉริยภาพทางด้านโหราศาสตร์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 และดวงพระชะตา (ตอนที่ 3)

นอกจากพระองค์ท่านจะทรงทราบถึงดวงพระชะตากำเนิดของพระองค์แล้ว ดังที่ผมได้อรรถาธิบายไว้ในตอนที่ 1 และ 2 พระองค์ยังทรงทราบถึงการพยากรณ์ดวงชะตาจรอีกด้วย ซึ่งหลายๆท่านก็คงทราบกันดีว่า การพยากรณ์ดวงชะตาจรได้อย่างแม่นยำนั้น มีความยากเพียงใด เนื่องเพราะแต่ละคนมีดวงชะตากำเนิดไม่เหมือนกัน ดังนั้นดวงดาวแต่ละดวงจึงส่งผลแต่ละคนไม่เหมือนกัน

ในบางช่วงเวลา ผมสันนิษฐานว่าพระองค์ท่านได้ทรงแก้ไขดวงพระชะตาของพระองค์เองอีกด้วย เพื่อหลีกเลี่ยงเหตุการณ์ไม่ดีที่พระองค์ทรงคาดว่าจะเกิด ส่วนจะเป็นเรื่องอะไรนั้น เราลองมาดูเหตุการณ์สำคัญๆในส่วนพระองค์กันครับ

พระบรมราชชนก
(ภาพจากวิกิพีเดีย)

พระบรมราชชนกสิ้นพระชนม์

วันที่ ๒๔ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๒ ในขณะที่พระองค์ท่านมีพระชนมายุเพียง 2 พรรษา พระบรมราชชนกได้ทรงนิวัติประเทศไทยหลังจากสำเร็จการศึกษาสาสขาแพทยศาสตร์เกียรตินิยมจากประเทศสหรัฐอเมริกา แต่พระบรมราชชนกทรงมีพระพลานามัยไม่แข็งแรงนัก จึงทำให้พระองค์สิ้นพระชนม์ในวันดังกล่าว

ดวงจรวันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2472
ตามรูปดวงจรในวันนั้น ผมจะวิเคราะห์ดวงดาวหลักๆให้ทราบกันก่อนครับ

ดาวมฤตยู(๐) โคจรในราศีมีน สถิตภพศุภะในดวงพระชะตา พยากรณ์ได้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างกระทันหันเกี่ยวข้องกับพระบรมราชชนก โดยปกติโหรหลายๆท่านใช้ดาวมฤตยู(๐)พยากรณ์ในเรื่องเหตุการณ์ความรุนแรงต่างๆ ดังที่กล่าวกันเป็นคำกลอนว่า "... ทายภัยอาเภท ทายมฤตยู"

ดาวพฤหัส(๕) โคจรในราศีพฤษภ สถิตภพลาภะ กุมดาวราหู(๘)ในดวงกำเนิดซึ่งให้โทษในตำแหน่งนิจและยังเป็นดาวมรณะอีกด้วย ดาวพฤหัส(๕)นี้คือตัวแทนของพระบรมราชชนกนั่นเอง

พระปรเมทรมหาอานันทมหิดล
(ภาพจากวิกิพีเดีย)

พระเชษฐาธิราชสวรรคต


ในวันที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๙ เป็นวันที่พระองค์ท่านได้ทรงเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงในทุกเรื่อง ถือได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่พระองค์ท่านมิได้ทรงปรารถนา อีกทั้งเป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นราชันย์แห่งกษัตริย์ทั้งปวง เนื่องจากเป็นวันที่พระองค์ท่านได้ทรงเสียพระเชษฐาธิราชของพระองค์ไปอย่างไม่มีวันกลับ ในขณะเดียวกัน ก็เป็นวันที่พระองค์ได้รับการทูลเชิญให้ดำรงพระอิสริยยศเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๙ แห่งราชวงศ์จักรี

ดังที่ผมได้กล่าวไว้แล้วว่าพระลัคนาของพระองค์ท่านทรงสถิตในราศีกรกฎ และตามรูปดวงจรในวันนั้น สามารถวิเคราะห์ได้ดังนี้

ดวงจรวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489
ดาวมฤตยู(๐) โคจรในราศีพฤษภ สถิตภพลาภะในดวงพระชะตา พยากรณ์ได้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างกระทันหันเกี่ยวข้องกับพระเชษฐาธิราช และดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น แต่ดาวดวงนี้โคจรเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานถึง 7 ปี ดังนั้น ต้องพิจารณาดาวดวงต่อไปที่จำกัดช่วงเวลาให้แคบเข้าไปอีก

ดาวราหู(๘) โคจรในราศีพฤษภ สถิตภพลาภะในดวงพระชะตา ได้ตำแหน่งนิจ ซึ่งเป็นตำแหน่งให้โทษอย่างรุนแรง พยากรณ์ได้ว่า พระเชษฐาธิราชจะประสบกับเหตุร้าย ซึ่งโดยทั่วไป เมื่อดาวราหู(๘)ให้โทษในภพเรือนใด มักจะทำให้ภพเรือนนั้นป่วย เจ็บ ทะเลาะ ล้มหายตายจาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งดาวราหู(๘)ของชาวราศีกรกฎเป็นดาวเจ้าเรือนมรณะ ภพแห่งการจากนั่นเอง แต่ยังเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานถึง 1 ปีครึ่งโดยประมาณ ยังต้องใช้ดาวดวงต่อไปจำกัดช่วงเวลาให้แคบลงอีก

ดาวอาทิตย์(๑) โคจรในราศีพฤษภ สถิตภพลาภะในดวงพระชะตา โดยปกติโหรมักใช้ดาวอาทิตย์(๑)พยากรณ์ว่าเหตุการณ์นั้นจะเกิดในช่วงเดือนใด ในที่นี้คือประมาณกลางเดือนพฤษภาคมถึงกลางเดิอนมิถุนายน เรียกได้ว่าดาวอาทิตย์เป็นตัวซ้ำเติมเหตุการณ์นั่นเอง

ดาวจันทร์(๒) โคจรในราศีกันย์ กุมดาวพฤหัส(๕)ซึ่งกำลังให้โทษในตำแหน่งประ และดาวพฤหัส(๕)ยังเป็นดาวเจ้าเรือนอริของราศีกรกฎอีกด้วย พยากรณ์ว่าจะมีเรื่องมงคล เรื่องดีๆเกิดขึ้น แต่พระองค์ท่านคงไม่ทรงอยากรับนัก นั่นคือการรับทูลเชิญขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์องค์ที่ ๙ แห่งราชวงศ์จักรี

ภาพจากวิกิพีเดีย

ทรงหมั้น


หลังจากที่พระองค์ท่านทรงเผชิญกับเหตุการณ์ร้ายๆมาตลอด ในที่สุดก็ถึงเวลาที่พระองค์ท่านจะเริ่มมีความสุขเสียที โดยทรงหมั้นกับหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร ในวันที่ ๑๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๙๒ 

ดวงจรวันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2492
โดยหลักเกณฑ์การพยากรณ์เรื่องการแต่งงาน การมีคู่ครอง ในทางโหราศาสตร์แล้ว ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร โหรมักดูจากดาวพฤหัส(๕)เป็นหลักครับ เรามาดูรูปดวงจรกันว่าเป็นอย่างไร

ดาวมฤตยู(๐) โคจรในราศีเมถุน สถิตภพวินาสน์ ในช่วงเวลานี้ นับได้ว่าเหตุเภทภัยต่างๆได้สงบความเลวร้ายลงไป

ดาวพฤหัส(๕) โคจรในราศีมังกร สถิตภพปัตนิ ให้โทษในตำแหน่งนิจ แต่เมื่อดูมุมสัมพันธ์กับพระลัคนา ดาวอาทิตย์(๑) และดาวจันทร์(๒)แล้ว กลับอยู่ในตำแหน่งที่ดีเรียกว่าดวงแบบ "จันทร์ คุรุ สุริยา"

ในตอนนี้พอจะจับสังเกตกันได้แล้วนะครับว่า ดาวมฤตยู(๐)นั้นส่งผลกับพระลัคนาของพระองค์ท่านอย่างมีนัยสำคัญเพียงใด แต่เชื่อมั๊ยครับว่าพระองค์ท่านก็ทรงทราบในข้อสังเกตนี้เหมือนกัน คราวหน้าเป็นตอนสุดท้ายที่ผมจะบอกว่าพระองค์ท่านทรงแก้ไขอย่างไร เผื่อว่าพวกเราที่กำลังประสบปัญหานี้อยู่ จะได้นำหลักการนี้ไปปฏิบัติตามรอยพระบาทกันต่อไปครับ





วันอาทิตย์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

พระอัจฉริยภาพทางด้านโหราศาสตร์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 และดวงพระชะตา (ตอนที่ 2)

คราวที่แล้วผมได้อธิบายถึงพระอัจฉริยภาพทางด้านโหราศาสตร์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ไปแล้ว โดยการยกตัวอย่างจากบทพระราชนิพนธ์ "พระมหาชนก" ซึ่งผมเห็นว่าเด่นชัดที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่พระองค์ท่านได้บอกเป็นนัยอะไรบางอย่างว่า พระองค์ท่านนั้นมีพระลัคนาสถิตราศีกรกฎ

จะจริงหรือเท็จประการใดผมขออนุญาตวิเคราะห์ดวงพระชะตาให้ท่านทั้งหลายดูว่า ที่พระองค์ท่านทรงบอกเป็นนัยนั้น สมเหตุสมผลหรือไม่

ดวงพระชะตากำเนิดพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙


ผมขอใช้พระบรมฉายาลักษณ์และพระราชประวัติจากวิกิพีเดียเจ้าประจำของผมที่ "พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช" และขอขอบพระคุณมา ณ โอกาสนี้ครับ

พระองค์ทรงพระราชสมภพ ณ โรงพยาบาลเมาต์ออเบิร์น เมืองเคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา เมื่อวันจันทร์ เดือนอ้าย ขึ้น 12 ค่ำ ปีเถาะ นพศก จุลศักราช 1289 ตรงกับวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2470 ส่วนเวลานั้นผมตรวจดูจากหลายๆแหล่งบอกตรงกันว่าทรงพระราชสมภพเวลา 8 นาฬิกา 45 นาที เป็นเวลาท้องถิ่นประเทศอเมริกาที่กล่าวข้างต้น

เนื่องจากการคำนวณสมผุสของดวงดาวต่างๆตามคัมภีร์สุริยยาตรที่ผมใช้อยู่ จะใช้เวลาของประเทศไทย ดังนั้นการคำนวณหาพระลัคนาของพระองค์ท่านตลอดจนสมผุสต่างๆ ผมจำเป็นต้องแปลงเวลาท้องถิ่นอเมริกามาเป็นเวลาประเทศไทย

การแปลงเวลานั้น ผมเทียบจากเวลามาตรฐานเมืองกรีนิซ ซึ่งเขตเวลารัฐแมสซาชูเซตส์จะช้ากว่าเวลามาตรฐานประเทศไทยอยู่ 11 ชั่วโมง 

ดังนั้นในขณะที่ทรงพระราชสมภพเาลา 8:45 นั้น เวลาประเทศไทยจะเป็น 19:45 ครับ เมื่อคำนวณตามเวลาที่แปลงเรียบร้อยแล้วจะได้รูปดวงพระชะตาดังนี้

ดวงพระชะตาพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ ๙
วันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๗๐ เวลา ๘ นาฬิกา ๔๕ นาที
รัฐแมสซาชูเซตส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา

เมื่อพิจารณาตามเกณฑ์มาตรฐานของโหราศาสตร์ไทยแล้ว จะได้ดังรูปต่อไปนี้

ตารางแสดงเกณฑ์ต่างๆของดวงพระชะตา

ถ้าให้ผมดูแบบเร็วๆแล้ว ผมไม่เห็นดาวดวงใดของพระองค์ไปสถิตในตำแหน่งทุสถานภพเลยแม้แต่ดวงเดียว เพียงเท่านี้ก็สามารถบอกได้คร่าวๆแล้วครับว่า เป็นดวงของบุคคลที่มักจะประสบความสำเร็จและยิ่งใหญ่ได้อย่างไม่ยากเย็น คราวนี้มาวิเคราะห์กันตามหลักเกณฑ์ของโหราศาสตร์โดยละเอียดกันนะครับ ว่าพระองค์ทรงเป็นราชันย์แห่งกษัตริย์ทั้งปวงได้อย่างไร

1. พระลัคนาสถิตราศีกรกฎ ได้เกณฑ์ปัญจมหาบุรุษโยค พระองค์ท่านจึงทรงมีบุคลิกภาพเป็นที่น่ารักใคร่แก่ผู้พบเห็น เป็นผู้ที่มีความอ่อนน้อม สุภาพเรียบร้อย รักถิ่นที่พำนักอาศัย พระองค์ทรงมีพระราชอำนาจมากมาย และพระองค์ทรงเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงที่สุดในบรรดาราชวงศ์ของพระมหากษัตริย์จากประเทศต่างๆทั่วโลก

2. ดาวเจ้าเรือนลัคนาราศีกรกฎคือดาวจันทร์(๒) ได้ตำแหน่งมหาจักร ซึ่งหมายถึงความมีฤทธิ์มีเดช เมื่อสถิตอยู่ในตำแหน่งเด่นเช่นนี้ จึงยิ่งทำให้พระองค์ท่านเป็นบุคคลที่มีเสน่ห์ เป็นที่รักแก่บุคคลทั่วไป ในขณะเดียวกันก็มีอำนาจบารมีเป็นที่เคารพยำเกรงอีกด้วย

3. ดาวเจ้าเรือนลัคนาคือดาวจันทร์(๒)สถิตภพกัมมะในดวงพระชะตา ทำให้พระองค์ท่านทรงมีพระราชกรณียกิจอยู่ตลอดเวลา แม้ว่าจะกำลังทรงพระประชวรอยู่ก็ตาม เราจะเห็นได้ว่าตลอดรัชกาลของพระองค์ ไม่มีวันใดเลยที่พระองค์ทรงว่างจากพระราชกรณียกิจ แม้ในขณะที่พระองค์ท่านทรงงานอดิเรก พระองค์ท่านก็ยังทรงนำงานนั้นมาเป็นส่วนหนึ่งของพระราชกรณียกิจ ไม่ว่าจะเป็น ดนตรี กีฬา ทรงพระอักษร หรืองานวิจัยต่างๆ

4. ดาวอังคาร(๓)เจ้าเรือนกัมมะสถิตภพปุตตะในราศีพิจิกได้ตำแหน่งเกษตร พระราชกรณียกิจที่พระองค์ทรงได้ทำจึงมักเป็นงานที่ยิ่งใหญ่ มีคุณค่า และเป็นประโยชน์อย่างสูงสุด พระราชกรณียกิจของพระองค์ท่านจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับพสกนิกรของพระองค์แทบทั้งสิ้น

5. ดาวอังคาร(๓)เจ้าเรือนปุตตะสถิตภพปุตตะในราศีพิจิกได้ตำแหน่งเกษตร กุมดาวอาทิตย์(๑) ดาวพุธ(๔)และดาวเสาร์(๗)ได้ตำแหน่งพินทุบาทว์ ที่เรือนปุตตะนี้เองที่ทำให้พระองค์ท่านทรงมีความทุกข์ในพระราชหฤทัยอย่างแสนสาหัส เนื่องจากพสกนิกรของพระองค์มีหลายจำพวก แต่ละจำพวกก็มีความโดดเด่นในตัวเอง จึงมักเกิดการชิงดีชิงเด่นกันเองจนก่อให้เกิดเหตุการณ์ความวุ่นวายหลายครั้งหลายหนในรัชสมัยของพระองค์  แต่ในขณะเดียวกันพระราชการณียกิจนั้นๆก็เป็นสิ่งที่ทำให้ชื่อเสียงของพระองค์ท่านขจรขจายไปทั่วทั้งโลก

6. ดาวอาทิตย์(๑)เจ้าเรือนกดุมภะ ดาวพุธ(๔)เจ้าเรือนวินาสน์และสหัสชะ ดาวเสาร์(๗)เจ้าเรือนปัตนิสถิตภพปุตตะได้ตำแหน่งพินทุบาทว์ ทำให้พระองค์ทรงนำทรัพยากรของพระองค์หลายสิ่งหลายอย่างเข้ามาช่วยเหลือพสกนิกรของพระองค์ ไม่ว่าจะเป็น ทรัพย์สินเงินทองส่วนพระมหากษัตริย์ การสื่อสาร การโฆษณาประชาสัมพันธ์ หรือแม้กระทั่งการที่พระบรมราชินีนาถทรงดำเนินโครงการต่างๆเพื่อสนับสนุนพระราชกรณียกิจของพระองค์ท่านด้วย

7. ดาวศุกร์(๖)สถิตราศีตุลย์ ได้ตำแหน่งเกษตร และได้อัมพุเกณฑ์ ดาวศุกร์(๖)นี้เป็นดาวเด่นที่สุดในดวงพระชะตาเนื่องจากไม่มีดาวดวงใดมากุมแล้วทำให้เกิดผลเสีย  พระองค์จึงทรงมีความเป็นศิลปินในตัวเองอย่างสูง พระองค์ทรงมีพระปรีชาสามารถหลายๆด้านเช่น ทรงดนตรีได้แทบทุกชนิด ทรงแต่งบทเพลงพระราชนิพนธ์ที่มีความไพเราะเข้ากับเหตุการณ์ได้ทุกยุคทุกสมัย ทรงพระราชนิพนธ์ทั้งร้อยแก้วและร้อยกรองไว้มากมายรวมถึงภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ที่ช่างภาพมืออาชีพบางรายยังมิอาจเทียบได้

8. ดาวศุกร์(๖)เจ้าเรือนลาภะสถิตราศีตุลย์ ได้ตำแหน่งเกษตร พระองค์ท่านประสบความสำเร็จอย่างสูงสุดในรัชสมัยของพระองค์ไม่ว่าจะทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจอะไรก็แล้วแต่ อันเจ้าเรือนลาภะนี้ อีกความหมายหนึ่งก็คือ พี่ชายหรือพี่สาว พระองค์จึงทรงมีพระเชษฐาที่ยิ่งใหญ่เช่นกันซึ่งก็คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 8 นั่นเอง

9. ดาวศุกร์(๖)เจ้าเรือนพันธุสถิตราศีตุลย์ ได้ตำแหน่งเกษตร หมายถึงพระองค์ทรงมีพระราชชนนีที่ยิ่งใหญ่เช่นกันตามที่ได้ทราบกันดี และจากพระราชประวัติของพระองค์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 ได้ทรงพระราชทานตั้งชื่อให้แด่พระองค์ว่า "ภูมิพล" ซึ่งหมายถึงพลังแห่งแผ่นดินนั้น มีที่มาอย่างไร ผมขออนุญาตสันนิษฐานตามหลักการแห่งโหราศาสตร์ดังนี้

ในสมัยก่อน การตั้งชื่อในราชวงศ์ มักใช้ตำราโหราศาสตร์หรือตำราทักษามาช่วยเพื่อให้เป็นสิริมงคลแก่ดวงพระชะตามากที่สุด สำหรับพระองค์ก็เช่นกัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 ได้ทรงนำทั้งโหราศาสตร์และทักษามาเป็นหลักพิจารณา ซึ่งถ้าเราดูผมว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างแน่นอน

เมื่อมีดาวเด่นที่สุดในเรือนพันธุ ซึ่งหมายถึงที่ดิน บ้าน วงศ์ตระกูล ดังนั้นควรตั้งชื่อให้มีความหมายตามเรือนพระชะตาที่เด่นนี้

พระองค์เสด็จพระราชสมภพในวันจันทร์ เมื่อตั้งชื่อโดยใช้หลักทักษาที่ให้ความหมายถึงที่ดิน ก็จะใช้อักษรของวรรคมูละ อันได้แก่อักษร บ ป ผ ฝ พ ฟ

ตามกฎเกณฑ์ดังกล่าวข้างต้น พระองค์จึงทรงมีพระนามว่า "ภูมิพล" โดยความเป็นสิริมิ่งมงคลนี้ ผมคงปฏิเสธไม่ได่ว่า พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 ก็ทรงมีพระปรีชาสามารถทางด้านโหราศาสตร์ชนิดที่ทรงสามารถเป็นพระโหราจารย์อีกท่านหนึ่งได้เลยทีเดียว

10. ดาวพฤหัส(๕)เจ้าเรือนอริและเจ้าเรือนศุภะ สถิตภพศุภะ ได้ตำแหน่งเกษตร กุมดาวมฤตยู(๐) พระองค์ทรงมีคุณธรรมอันสูงส่งดังจะเห็นได้จากพระองค์ทรงอยู่ในทศพิธราชธรรม ในขณะเดียวกัน พระองค์ทรงมีพระปรีชาสามารถทางด้านต่างประเทศ หรือแม้กระทั่งทางด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีสมัยใหม่ และเรือนศุภะนี้หมายถึงพระบรมราชชนก พระองค์จึงทรงมีพระบรมราชชนกที่มีพระปรีชาสามารถเช่นกัน แต่เป็นที่น่าเสียดาย เนื่องจากดาวพฤหัส(๕)นี้คือเจ้าเรือนอริ และยังถูกกุมด้วยดาวมฤตยู(๐) จึงทำให้พระบรมราชชนกของพระองค์สิ้นพระชนม์ในขณะที่มีพระชนมายุยังน้อยอยู่

11. ดาวราหู(๘)เจ้าเรือนมรณะ สถิตภพลาภะ ในตำแหน่งนิจ พระองค์ทรงประสบความสำเร็จจากการที่ต้องสูญเสียบางสิ่งบางอย่างไป ซึ่งเรือนลาภะนี้หมายถึงพระเชษฐาของพระองค์อีกด้วย นั่นหมายถึงการที่พระองค์ทรงเสด็จขึ้นครองราชย์แต่ก็ต้องสูญเสียพระเชษฐาไปอย่างไม่มีวันกลับ


มาถึง ณ จุดนี้ ผมเองค่อนข้างแน่ใจว่าพระลัคนาของพระองค์สถิต ณ ราศีกรกฎอย่างแน่นอน แต่เพื่อความมั่นใจ ผมขอบรรยายต่อในครั้งต่อไปในเรื่องของการวิเคราะห์ดวงจรโดยใช้พระลัคนานี้ ว่าจะมีความแม่นยำเป็นประการใด