วันพุธที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

เมื่อผมลงสมัครสมาชิกวุฒิสภาปีพ.ศ.2567 (ดาวมฤตยูเป็นเหตุ)

 

เอกสารแนะนำตัว(สว.3)

ห่างหายไปนานกับการโพสต์บทความลงสื่อโซเชียลต่างๆ เนื่องจากผมใช้เวลาไปกับการลงสมัครรับเลือกสมาชิกวุฒิสภาปีพ.ศ.2567ที่เพิ่งผ่านมา ซึ่งมีกฏกติกาค่อนข้างยุ่งยากดังที่ทราบกัน กล่าวคือ ต้องผ่านการลงคะแนน 3 ระดับ ตั้งแต่ระดับอำเภอ จังหวัด และประเทศ ตามกลุ่มอาชีพ 20 กลุ่ม

แต่ละระดับ แบ่งเป็น 2 รอบคือ รอบโหวตกลุ่ม แล้วจึงจะผ่านไปรอบโหวตไขว้ ... โหวตกลุ่มคือการโหวตเลือกผู้สมัครในกลุ่มอาชีพที่ตนเองลงสมัคร ส่วนการโหวตไขว้ คือการโหวตเลือกผู้สมัครในกลุ่มอาชีพอื่นที่อยู่ในสายเดียวกัน โดยแต่ละสายเกิดจากการจับฉลากคล้ายกับการแบ่งสายแข่งฟุตบอล ยังไงยังงั้นเลย

รวมแล้วต้องผ่านขั้นตอนการเลือกถึง 6 รอบ กว่าจะได้สมาชิกวุฒิสภาตามกลุ่มอาชีพ กลุ่มละ 10 ท่าน รวมเป็น 200 ท่าน !!!

ผมเองผ่านระดับอำเภอมาได้แบบต้องใช้ไหวพริบแก้ไขเหตุการณ์เฉพาะหน้าผสมกับการดูดวงตัวเองมาก่อน ทำให้ทราบว่าควรเข้าหาบุคคลประเภทใด ส่วนระดับจังหวัด ก็ผ่านมาได้ด้วยเหตุผลคล้ายๆกับระดับอำเภอ

แต่ในระดับประเทศ ผมไม่ผ่านรอบโหวตกลุ่ม (รอบที่ 5) ก็เลยไม่ได้เข้ารอบสุดท้าย (รอบที่ 6) ซึ่งเป็นรอบที่จะได้สมาชิกวุฒิสภาตัวจริง

ส่วนเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดการร้องเรียนต่างๆนั้น ผมจะไม่ขอกล่าวถึง ทั้งๆที่เห็นมากับตาตัวเอง เพราะไม่เกี่ยวกับการดูดวงแต่อย่างใด

และการที่ผมตัดสินใจลงสมัครในครั้งนี้ มีอยู่ 2 ประเด็นหลักๆที่เกี่ยวข้องกับโหราศาสตร์ ได้แก่

1. ดวงเมืองมีแนวโน้มเริ่มเข้าสู่ความสงบอีกประมาณ 5 ปีนับจากนี้ ซึ่งเดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง
2. ดวงผมเองมีโอกาสดีๆที่กำลังจะผ่านเข้ามาในช่วงการเลือกนี้ และจะเล่าในตอนถัดไป

ที่ผมบอกว่า ดวงเมืองมีแนวโน้มที่ดีขึ้นนั้น ผมอ้างสถิติจากดาวดวงหนึ่งคือ ดาวมฤตยู(๐) ที่มีรอบการโคจรราศีละประมาณ 7 ปี ครบรอบ 12 ราศีจะใช้เวลาโดยประมาณถึง 84 ปี ซึ่งแน่นอนว่า ในระยะเวลา 7 ปีนั้น ก็จะมีดาวที่วงโคจรสั้นกว่าเช่น ดาวเสาร์(๗) ดาวราหู(๘) ดาวพฤหัส(๕) ... คอยบอกเหตุการณ์ปลีกย่อยอีกที แต่ก็เป็นเหตุการณ์ที่สอดคล้องกันกับดาวมฤตยู(๐)นั่นเอง

ถ้าเริ่มนับตั้งแต่ยุคเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 ปีพ.ศ.2310 ดาวมฤตยู(๐)โคจรรอบดวงอาทิตย์มาแล้ว 3 รอบและในขณะนี้กำลังอยู่ในรอบที่ 4 โดยใช้ตำแหน่งเดียวกันของดาวที่กำลังโคจรสถิตในราศีทั้ง 3 รอบนั้น ทำให้สามารถนำข้อมูลเหตุการณ์เชิงสถิติในอดีตมาอนุมานเหตุการณ์ในปัจจุบันได้ดังนี้ครับ

สมัยเสียกรุงศรีอยุธยา สถาปนากรุงธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์

ดาวมฤตยู(๐)ปีพ.ศ. 2310
2310 - 2316 สถิตราศีเมษ เสียกรุงศรีอยุธยา พระเจ้าเอกทัศน์เสด็จสวรรคต พระเจ้าตากสินขึ้นครองราชย์ และสถาปนากรุงธนบุรี
2316 - 2323 สถิตราศีพฤษภ ยังทำศึกสงครามทางฝั่งตะวันออก และมีปัญหาการเมืองภายในกรุงธนบุรี
ดาวมฤตยู(๐)ปีพ.ศ. 2325
2323 - 2330 สถิตราศีเมถุน พระเจ้าตากสินเสด็จสวรรคต พระพุทธยอดฟ้าฯ(รัชกาลที่ 1)ขึ้นครองราชย์ปี 2325 และสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์
2330 - 2337 สถิตราศีกรกฎ บ้านเมืองสงบจากปัญหาทางการเมืองภายใน แต่ยังทำสงครามกับพม่าอยู่เนืองๆ

ถ้ามองแบบภาพรวมก็จะสรุปง่ายๆได้ว่า ช่วงที่เกิดการเปลี่ยนถ่ายอำนาจทางการเมือง คือช่วงที่ดาวมฤตยู(๐)เริ่มโคจรเข้าสถิตราศีเมษและราศีพฤษภ (2310 - 2325) ใช้เวลาประมาณ 14 - 15 ปีนั่นเอง หลังจากนั้นจึงจะเริ่มเข้าสู่ความสงบทางการเมืองภายใน

สมัยรัชกาลที่ 3 ต่อเนื่องรัชกาลที่ 4

ดาวมฤตยู(๐)ปีพ.ศ. 2394
2393 - 2399 สถิตราศีเมษ รัชกาลที่ 3 เสด็จสวรรคต รัชกาลที่ 4 ขึ้นครองราชย์ในปี 2394 พร้อมกับอัญเชิญพระอนุชาขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์ด้วย เนื่องเพราะพระอนุชาทรงมีอำนาจทางการทหาร
2399 - 2406 สถิตราศีพฤษภ เริ่มมีปัญหากับฝรั่งเศส เพราะเวียดนามทำสงครามกับฝรั่งเศส เวียดนามขอให้ไทยช่วยเหลือ จึงทำให้ฝรั่งเศสไม่พอใจ
ดาวมฤตยู(๐)ปีพ.ศ. 2408
2406 - 2413 สถิตราศีเมถุน พระอนุชาเสด็จสวรรคตปี 2408 รัชกาลที่ 4 เสด็จสวรรคตปี 2411 ซึ่งเป็นปีที่เกิดสุริยุปราคาพอดี และรัชกาลที่ 5 ขึ้นครองราชย์ปี 2411 นั้นเอง
2413 - 2420 สถิตราศีกรกฎ สงบจากการเมืองภายใน แต่การเมืองภายนอกทำให้ไทยเสียดินแดนไปหลายครั้งในรัชสมัยของรัชกาลที่ 5

เช่นเดียวกับคราวก่อน เมื่อดาวมฤตยู(๐)เริ่มโคจรสถิตราศีเมษ มักจะเกิดการถ่ายเทอำนาจทางการเมือง หรือผลัดเปลี่ยนแผ่นดิน จนถึงช่วงที่โคจรสถิตราศีเมถุน (2393 - 2408) ซึ่งรวมระยะเวลา 14-15 ปีเช่นกัน แต่คราวนี้มีข้อแตกต่างคือ รัชกาลที่ 4 ได้อัญเชิญพระอนุชาขึ้นครองราชย์ด้วย อาจทำให้กล่าวได้ว่า พระอนุชาทรงรับพระเคราะห์แทนในฐานะที่เป็นพระเจ้าแผ่นดินอีกพระองค์หนึ่ง

สมัยเปลี่ยนแปลงการปกครองพ.ศ.2475

ดาวมฤตยู(๐)ปีพ.ศ. 2475
2475 - 2482 สถิตราศีเมษ คณะราษฎรยึดอำนาจปี 2475 รัชกาลที่ 7 ทรงสละราชสมบัติปี 2478 และต่อมารัชกาลที่ 8 ได้ขึ้นครองราชย์แทน
2482 - 2489 สถิตราศีพฤษภ เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้ไทยต้องเข้าสู่ภาวะสงคราม เกิดข้าวยากหมากแพง ค่าเงินตกต่ำ และยังมีปัญหาการเมืองภายในระหว่างกลุ่มอำนาจเก่าและใหม่
ดาวมฤตยู(๐)ปีพ.ศ. 2489
2489 - 2496 สถิตราศีเมถุน รัชกาลที่ 8 เสด็จสวรรคตกลางปี 2489 รัชกาลที่ 9 ได้ขึ้นครองราชย์ และต่อมาเกิดรัฐประหารปี 2491 การเมืองภายในประเทศจึงเริ่มสงบลง
2496 - 2503 สถิตราศีกรกฎ ถึงการเมืองภายในจะสงบลงเป็นระยะเวลา 10 ปีแล้ว แต่ก็ยังเกิดเหตุการณ์รัฐประหารปี 2500 จนได้

ข้อสังเกตุยังเป็นเช่นเดิมคือ เมื่อดาวมฤตยู(๐)เริ่มโคจรสถิตราศีเมษ มักจะเกิดการถ่ายเทอำนาจทางการเมือง หรือผลัดเปลี่ยนแผ่นดิน จนกระทั่งเริ่มสถิตราศีเมถุน (2475 - 2490) การถ่ายเทอำนาจจึงเสร็จสิ้น การเมืองภายในประเทศจึงเริ่มสงบลง

สมัยปัจจุบัน

ดาวมฤตยู(๐)ปีพ.ศ. 2559
2559 - 2565 สถิตราศีเมษ รัชกาลที่ 9 เสด็จสวรรคตปี 2559 รัชกาลที่ 10 ขึ้นครองราชย์ ระหว่างนั้น ได้เกิดโรคโควิด-19ระบาดช่วงปี 2563 ถึง 2565 และเหตุการณ์ชุมนุมประท้วงเป็นระยะเวลานาน
2565 - 2572 สถิตราศีพฤษภ การช่วงชิงอำนาจทางการเมืองมีความชัดเจนมากขึ้นในการแบ่งขั้วอำนาจระหว่างฝ่ายประชาธิปไตย และฝ่ายอนุรักษ์นิยม ... ปัจจุบันปี 2567 ก็ยังคงต่อสู้กันอยู่ ยังไม่สามารถสรุปผลได้ คงต้องเฝ้ารอดูเหตุการณ์อีกอย่างน้อย 5 ปี
ดาวมฤตยู(๐)ปีพ.ศ. 2572
2572 - 2579 สถิตราศีเมถุน ผมไม่ขอพยากรณ์ใดๆทั้งสิ้น เพียงแต่ขอฝากข้อมูลทางสถิติที่ผ่านมา 3 ครั้งให้ทุกท่านทดลองพยากรณ์ด้วยตัวเองครับ

ข้อสังเกตุแรกคือ ดาวมฤตยู(๐)เริ่มโคจรสถิตราศีเมษ (2559) ก็เกิดเหตุการณ์ดังสถิติที่ผ่านมาแล้ว ขณะนี้ปี 2567 การถ่ายเทอำนาจยังคงดำเนินอยู่ ซึ่งยังอีกประมาณ 5 ปี กว่าที่ดาวมฤตยู(๐)จะโคจรสถิตราศีเมถุน 

ดูจากช่วงเวลาที่เหลืออยู่ดังกล่าว ผมประเมินสถานการณ์ได้ว่า การเลือกสมาชิกวุฒิสภาครั้งนี้ จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ องค์กรอิสระ และองคาพยพต่างๆให้บังเกิดความสงบสุขภายในชาติขึ้นได้หลังจากเกิดปมขัดแย้งกันมาอย่างยาวนาน เนื่องเพราะการจัดสรรอำนาจตามรัฐธรรมนูญไม่ได้เป็นไปอย่างเที่ยงธรรมเพียงพอ (อ่านรัฐธรรมนูญได้ที่นี่) จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่จะมีผู้ได้รับผลกระทบจากความไม่เที่ยงธรรมนั้นเป็นจำนวนมาก เรียกร้องให้แก้ไขโดยด่วนก่อนจะบานปลาย

แน่นอนว่าการปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด เพราะมีขั้นตอนและข้อกำหนดต่างๆที่ต้องใช้เวลา เช่น การใช้เสียงโหวตของสมาชิกวุฒิสภาไม่ต่ำกว่าหนึ่งในสาม การทำประชามติ การร่าง ฯลฯ รวมเวลาแล้วกว่าจะได้ใช้งานจริงก็อีกหลายปี

ผมมีประสบการณ์ เชี่ยวชาญในอาชีพกลุ่มวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี อย่างช่ำชองและโชกโชนมาเป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 36 ปี (ดูจากรูปแรก) และมีรายได้จากอาชีพนี้เป็นหลัก ไม่ใช่อาชีพเสริม ไม่ใช่งานอดิเรก ไม่ใช่เป็นเพียงผู้ใช้เทคโนโลยี แต่เป็นผู้สร้างนวัตกรรมคนหนึ่ง ซึ่งมีความรู้เพียงพอที่จะทำหน้าที่กลั่นกรองกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มอาชีพนี้ได้เป็นอย่างดี ... นี่เป็นเหตุผลส่วนหนึ่ง ที่ผมได้ลงสมัครครั้งนี้

แต่เป็นที่ทราบกันดีว่า การคัดกรองผู้สมัครให้มีคุณสมบัติตามที่รัฐธรรมนูญคาดหวังนั้น ผู้ปฏิบัติที่เกี่ยวข้องไม่ได้มีความเคร่งครัดเพียงพอ ทำให้ผู้มีความสามารถหลายท่านตกรอบกันระนาว ไม่สามารถผ่านเข้าไปเป็นตัวจริงเสียงจริงได้ ... ผมก็ได้แต่ขอวอนผู้มีอำนาจให้เห็นแก่ประเทศชาติบ้างเถอะ อย่าเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนกันนักเลย จะได้มีความสุขสงบกันทุกฝ่ายในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้ครับ