วันเสาร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ฤกษ์คลอด ตอนที่ ๒ - ทำไมต้องผ่าคลอด


โดยปกติแล้วการคลอดด้วยวิธีธรรมชาติหรือเบ่งคลอดเอง จะเป็นวิธีที่ค่อนข้างจะได้รับความนิยมมากกว่า เนื่องจากมีข้อดีหลายประการเช่น ไม่มีรอยแผลเป็นที่หน้าท้องหลังคลอด ฟื้นตัวได้เร็วกว่า สามารถคลอดบุตรได้หลายครั้งเท่าที่ต้องการ ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการผ่าตัด
แต่ไม่ใช่ว่าทุกๆคนสามารถคลอดเองได้ ผู้ที่คลอดเองไม่ได้ แพทย์ก็มักจะต้องใช้วิธีผ่าตัดช่วย ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ต้องผ่าตัด ก็มีหลายสาเหตุตามที่ได้รวบรวมมาจากหนังสือและจากคำบอกเล่าของแพทย์เอง ดังต่อไปนี้

1. สาเหตุจากแม่เด็ก 

  • มีอายุมากกว่า 35 ปี นับจากเริ่มตั้งครรภ์ 
  • มีประวัติว่าเป็นผู้มีบุตรยาก 
  • มีประวัติว่าเคยผ่าตัดทำคลอดมาก่อน ถ้าจะคลอดเองก็สามารถทำได้ แต่โอกาสที่จะสำเร็จมีไม่น่าจะเกิน 30 เปอร์เซ็นต์ เนื่องเพราะถ้ากลับมาคลอดเอง โอกาสที่แผลผ่าตัดเดิมจะปริแตก เป็นไปได้สูง อาจทำให้เสียเลือดมากได้ 
  • มีโรคที่สามารถติดต่อไปยังบุตรได้จากการสัมผัสเลือดหรือน้ำคร่ำเช่นโรคเอดส์ เริม ฯลฯ ซึ่งการคลอดเองจะมีโอกาสที่จะสัมผัสเลือดหรือน้ำคร่าได้มากกว่า 
  • ตรวจพบมะเร็งที่ปากมดลูก ซึ่งอาจเป็นอันตรายในระหว่างที่คลอดเอง เนื่องจากอาจทำให้เสียเลือดมากกว่าปกติ 
  • มีเนื้องอกขวางอยู่ที่ช่องทางคลอด 
  • มีโครงร่างเล็กเกินไป 
  • มีปัญหาเกี่ยวกับกระดูกเชิงกรานบิดงอ ไม่ได้รูป หรือเป็นผู้เคยมีประวัติกระดูกเชิงกรานแตก หัก ร้าวมาก่อน 
  • ปากมดลูกเปิดช้า ทำให้ใช้เวลาในการคลอดนานเกินไป ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาเด็กขาดออกซิเจนจนอาจเป็นอันตรายได้ 
  • ตั้งครรภ์แฝด 
  • ต้องการคลอดตามฤกษ์ ซึ่งถือเป็นสิทธิ์เบื้องต้นของผู้ป่วยที่จะเลือกรับบริการ แต่อย่างไรก็ตาม จะต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์ด้วย 
  • ฯลฯ 

2. สาเหตุจากตัวเด็กเอง

  • เด็กตัวโตเกินไป 
  • ท่าของเด็กในครรภ์ผิดปกติ เช่นไม่ได้เอาศีรษะลง หรือ นอนอยู่ในท่าขวาง หรือ นอนหันทางก้นลง ทำให้คลอดเองไม่ได้ 
  • รกเกาะต่ำ หรือรกของเด็กเกาะอยู่ในตำแหน่งที่ขัดขวางต่อการคลอด 
  • เกิดภาวะเครียดในครรภ์ จนทำให้ขาดออกซิเจน 
  • ตรวจพบว่ามีเลือดออกง่ายผิดปกติ ซึ่งถ้าคลอดเอง ก็มีโอกาสที่จะเสียชีวิตเนื่องจากเลือดออกในสมองจากการถูกช่องคลอดบีบรัด 
  • คลอดก่อนกำหนดมากๆ ซึ่งเด็กอาจจะอ่อนแอเกินไปจนทำให้มีโอกาสที่จะเสียชีวิตเนื่องจากเลือดออกในสมองจากการถูกช่องคลอดบีบรัดได้เหมือนกัน 
  • ฯลฯ 

แต่ถ้าไม่มีเหตุผลเพียงพอตามที่กล่าวมา แพทย์ก็คงไม่ผ่าตัดให้ตามคำขอเสมอไป เช่น ต้องการให้เด็กเกิดวันที่ 29 กุมภาพันธ์ แต่อายุครรภ์ยังไม่ครบพอที่จะผ่าได้ ซึ่งอายุครรภ์ควรจะมีอย่างน้อย 38 สัปดาห์

อย่างไรก็ตาม ถ้าตัดสินใจผ่าแล้วละก็ ก็ต้องรับทราบไว้เลยว่าจะสามารถมีบุตรได้เพียงไม่เกิน 3 คนเท่านั้น ถ้าตั้งใจว่าต้องการมีบุตรมากกว่า 3 คน ก็อย่าผ่าตัดทำคลอดเลยจะดีกว่า ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์เป็นสำคัญ

ฤกษ์คลอด ตอนที่ ๑ - วิวัฒนาการ


ก่อนจะกล่าวถึงเรื่องของฤกษ์คลอด ขอทำความเข้าใจก่อนว่าโหราศาสตร์คืออะไร มีความเป็นมาอย่างไร 

ลิ้งค์บทความที่เกี่ยวข้อง
1. ฤกษ์คลอด ตอนที่ ๒ - ทำไมต้องผ่าคลอด

“โหราศาสตร์” หมายถึงวิชาการพยากรณ์โดยใช้ดวงดาวเป็นเครื่องมือ แต่คนทั่วไปมักจะเข้าใจโดยเหมารวมเอาว่า การพยากรณ์โชคชะตา ไม่ว่าจะเป็นดูลายมือ โหงวเฮ้ง ฮวงจุ้ย คือโหราศาสตร์ ซึ่งเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน

ต้นกำเนิดของวิชาโหราศาสตร์ไม่มีใครทราบได้ รู้แต่ว่ามีมานานแล้วเป็นพันๆปี แต่ละชนชาติ แต่ละทวีป ก็มักจะทึกทักกันเอาเองว่าตนเองเป็นผู้ให้กำเนิด ทั้งที่จริงคนเราสามารถมีความคิดเหมือนกันได้

แต่ก็พอจะสันนิษฐานได้ง่ายๆว่า ในสมัยโบราณ มนุษย์คงมีการสังเกตเห็นท้องฟ้าในยามค่ำคืนมีการเคลื่อนที่ของดวงดาวเปลี่ยนแปลงไปทุกๆวัน จนสามารถคำนวณได้ว่าในอนาคตอีก 1 เดือนหรือ 2 เดือน หรือ 1 ปีข้างหน้า ดวงดาวจะอยู่ที่ตำแหน่งใด เปรียบได้กับชีวิตของมนุษยชาติหรือสิ่งมีชีวิตใดๆในโลกที่ต้องเปลี่ยนแปลงไปทุกๆวันเช่นกัน แล้วในเมื่อเราสามารถคำนวณตำแหน่งของดวงดาวในอนาคตได้ ทำไมเราจะคำนวณเหตุการณ์ในอนาคตไม่ได้เล่า ...

แนวทางในการทำนายภาพรวมของชีวิตและอนาคต ก็มีหลักการง่ายๆคือใช้ดวงดาวแทนความหมายต่างๆแล้วนำมาผสมกัน ก็จะได้คำพยากรณ์ที่หลากหลาย นอกจากใช้ดวงดาวแล้ว ก็มีการใช้กลุ่มดาวหรือราศีแทนเรื่องราวต่างๆอีกด้วย 

ต่อมาก็มีการกำหนดกฎเกณฑ์ปลีกย่อยมากมายใช้ในการพยากรณ์มากขึ้นแล้วแต่ว่าใครมีวิธีการที่น่าเชื่อถือมากกว่ากันหรือของใครจะแม่นกว่ากันนั่นเอง ซึ่งโหราศาสตร์ไทยของเราก็ไม่เป็นสองรองใครในโลก นอกเหนือจากเรื่องของเรือนชะตา องค์เกณฑ์ ทักษา ตรีวัยและอีกหลายๆเรื่องแล้วก็ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่อง"การวางฤกษ์" ซึ่งพบเห็นกันไม่มากนักในศาสตร์การพยากรณ์แขนงอื่น

เรื่องฤกษ์ที่ว่านี้มีที่ใช้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นฤกษ์บวช สึก สู่ขอ แต่งงาน ออกรถใหม่ ปลุกเสกพระ เปิดบริษัท ห้าง ร้าน แต่ยังมีฤกษ์อีกแบบหนึ่งที่เพิ่งจะเป็นที่รู้จักได้ไม่นานเท่าไร นั่นคือ”ฤกษ์คลอด“ เป็นฤกษ์ที่มีวิธีการค่อนข้างจะยุ่งยากกว่าฤกษ์แบบอื่นๆ เพราะต้องมีการพิจารณารอบด้านมากกว่า เนื่องเพราะเป็นเรื่องของการกำหนดชะตาชีวิตของเด็กที่กำลังจะเกิดมา ให้มีชะตาชีวิตเด่นในเรื่องที่เราต้องการหรือให้มีชะตาชีวิตที่ดีที่สุด

วิธีการให้ฤกษ์คลอดนี้ จะถือกำเนิดเมื่อไรนั้น ก็คงจะคาดเดากันได้ไม่ยาก เพราะคงต้องเกิดหลังจากที่มนุษย์รู้จักวิธีการผ่าตัดทำคลอดไม่นาน ถ้าคลอดด้วยวิธีธรรมชาติหรือเบ่งคลอดเอง ก็คงเป็นเรื่องยากที่จะให้ตรงตามฤกษ์ ถึงแม้ว่าจะมียากระตุ้นช่วยเร่งการคลอดก็ตาม 

การผ่าตัดทำคลอดสามารถกำหนดระยะเวลาได้ดีกว่า ซึ่งต่อมาก็คงมีคนที่คิดว่า ไหนๆก็ต้องผ่าตัดทำคลอดแล้ว ก็ขอให้แพทย์ช่วยผ่าให้ได้ตามฤกษ์เสียเลยจะดีกว่า จะได้ไม่เสียโอกาสของการผ่า และจะว่าไปแล้วก็ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องกังวลอะไร ถ้ามีความรู้ทฤษฎีทางโหราศาสตร์เป็นอย่างดี เราสามารถคำนวณได้แน่นอนอยู่แล้ว บวกกับสถิติบุคคลสำคัญต่างๆที่เราสามารถนำมาเป็นตัวอย่างได้

อีกประการหนึ่ง คุณพ่อคุณแม่ทุกๆท่านย่อมรักลูกเป็นธรรมดาอยู่แล้ว สิ่งใดที่สามารถทำเพื่อลูกได้ ก็ย่อมจะทำ เพื่อให้ลูกได้เกิดมาพร้อมสมบูรณ์ทุกๆอย่างเท่าที่จะเป็นไปได้ ทั้งสุขภาพร่างกาย จิตใจที่ดีงาม เป็นคนดีของสังคม และมีความเจริญรุ่งเรืองในชีวิต

ดวงจันทร์
ในยุคแรกๆของการวางฤกษ์คลอดนั้น มักจะพิจารณาฤกษ์จากดาวจันทร์ดวงเดียว เหมือนการวางฤกษ์พิธีกรรมแบบอื่นๆ แต่ในยุคปัจจุบันจะให้ฤกษ์ด้วยการพิจารณาดาวจันทร์แต่เพียงอย่างเดียวไม่ได้ ส่วนจะมีอะไรเพิ่มเติมเข้ามานั้น จะได้กล่าวถึงในตอนต่อๆไป

เมื่อทราบฤกษ์หรือเวลาที่ต้องการแล้ว ก็ต้องปรึกษากับสูตินรีแพทย์เพื่อที่จะผ่าคลอดให้ได้ตรงตามฤกษ์ที่วางไว้ ซึ่งเดี๋ยวนี้ก็ไม่ใช่เรื่องยาก เพราะสูตินรีแพทย์ทุกท่านทราบอยู่แล้วว่าจะต้องใช้เวลาเท่าไรในการผ่า เพราะถ้าไม่สามารถทำได้ตามกำหนดเวลา ก็อาจจะเป็นอันตรายกับเด็กหรือแม่เด็กก็เป็นได้ ซึ่งการนับเวลาตั้งแต่ลงมีด จนกระทั่งนำเด็กออกจากครรภ์ ก็ไม่น่าจะเกิน 15 นาที ตามที่ได้เคยสอบถามมา

อย่างไรก็ตามเรื่องของฤกษ์คลอดอาจยังคงเป็นเรื่องของความเชื่อส่วนบุคคล ตราบใดที่ผู้ไม่เห็นด้วยยังไม่ได้ศึกษาข้อมูลตามแนวทางโหราศาสตร์ที่แท้จริงก่อน และถ้าผู้ให้ฤกษ์ยังคงใช้วิธีการตามแนวทางไสยศาสตร์หลอกล่อให้หลงเชื่ออย่างงมงายไร้เหตุผล

วันอังคารที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ดวง พลเอก ประยุทธ จันทร์โอชา ... นายกรัฐมนตรี?


(1) พลเอก ประยุทธ จันทร์โอชา
เกิดวันที่ 21 มีนาคม พ.ศ.2497
จังหวัด นครราชสีมา

บุคคลสำคัญในช่วงเวลานี้ ไม่รีบกล่าวถึงก็คงไม่ได้แล้ว เดี๋ยวจะหมดโอกาสซะก่อน เพราะมีคำถามที่ยังไม่ได้ตอบว่า ใครคือนายกรัฐมนตรีคนต่อไป?
"พลเอก ประยุทธ จันทร์โอชา" ชื่อนี้คงต้องถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์การเมืองไทยเนื่องเพราะเป็นผู้กระทำการรัฐประหารครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ.2557 เวลา 03:00 น.

ท่านเกิดวันที่ 21 มีนาคม พ.ศ.2497 ที่จังหวัดนครราชสีมา ส่วนเวลาตกฟากนั้นผมไม่ทราบ แต่ก็พอจะอนุมานได้ว่าน่าจะเกิดตอนไหน เดี๋ยวค่อยๆดูกันไปครับ

ก่อนอื่น ลองมาดูดวงดาวที่สถิตในราศีต่างๆ เพื่อพยากรณ์ลักษณะนิสัยเด่นๆว่าเป็นวันเกิดที่ใช่จริงหรือไม่ 

อาทิตย์( ๑ ) สถิต ราศีมีน - ซื่อสัตย์ เป็นมิตร มองโลกในแง่ดี
จันทร์( ๒ ) สถิต ราศีกันย์ - สุภาพอ่อนหวาน ความคิดดี เข้าใจสิ่งต่างๆได้ง่าย
อังคาร( ๓ ) สถิต ราศีพิจิก - มีกำลังเข้มแข็ง เด็ดขาด โต้ตอบรุนแรง
พุธ( ๔ ) สถิต ราศีกุมภ์ - ความคิดก้าวหน้า พูดจาทันคน เจ้าเล่ห์
พฤหัส( ๕ ) สถิต ราศีพฤษภ - มีความสุขกับธรรมชาติ เชื่อมั่นสติปัญญาตนเอง
ศุกร์( ๖ ) สถิต ราศีมีน - มีโชคเรื่องความรัก ความรักทำให้มีความสุข
เสาร์( ๗ ) สถิต ราศีตุลย์ - มีความอดทนสูง ทุกข์เรื่องความรัก ความอยุติธรรม
ราหู( ๘ ) สถิต ราศีธนู - เข้าถึงแก่นศาสนา ตั้งใจมุ่งไปสู่จุดหมาย
เกตุ( ๙ ) สถิต ราศีพิจิก - อายุยืน คลุกคลีกับของเก่า
มฤตยู( ๐ ) สถิต ราศีกรกฏ - เจ้าอารมณ์ ขี้หงุดหงิด เอาแต่ใจ อ่อนไหวง่าย

คิดว่าคำพยากรณ์ข้างต้นเป็นอย่างไรบ้าง ผมว่าวันเกิดนี้คงเป็นวันเกิดของท่านจริงๆนั่นแหละครับ

ส่วนเวลาตกฟากนั้น ถ้าลองพิจารณาไปทีละราศี เริ่มจาก มีน เมษ พฤษภ ... จนถึง กุมภ์ ผมคิดว่าคนเราจะมีหน้าที่การงานมาถึงระดับนี้ได้ก็ต้องมีวาสนาที่สูงมาก และผมก็คิดว่าราศีที่ดีที่สุดในวันนั้นก็คือราศีมังกร ตามภาพที่(2) ซึ่งเวลาตกฟากก็ราวๆ ตีสาม ตีสี่ ครับ

(2) ดวงกำเนิด
พลเอก ประยุทธ จันทร์โอชา
ลัคนาราศีมังกร
(3) ดวงรัฐประหาร
22 พฤษภาคม พ.ศ.2557
เวลา 03:00 น.
ไม่ใช่ว่าผมจะดูที่ระดับวาสนาในดวงกำเนิดอย่างเดียว แต่ผมดูจากเหตุการณ์ 2-3 ปี่ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันด้วยว่าสอดคล้องและเป็นจริงตามราศีมังกรของท่านหรือไม่ ก็ปรากฎว่า ดาวเสาร์(๗)และดาวราหู(๘)คุ่มิตรกัน ส่งผลดีสุดๆในเรื่องการงานและความโดดเด่นของตัวท่านเอง ดูได้จากภาพที่(3)




ถึงบรรทัดนี้ ผมขอพยากรณ์ไว้เลยว่า นายกรัฐมนตรีคนต่อไปคือ พลเอก ประยุทธ จันทร์โอชา แน่นอน และคงทราบผลกันไม่เกิน 2 สัปดาห์นี้ครับ (ไม่เกิน 17 มิถุนายน นี้)

แต่มีอีกคำถามหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือ ท่านจะเป็นนายกฯไปจนถึงเมื่อไหร่?

ผมก็เลยดูต่อว่าดาวเสาร์(๗)ของท่านจะเปลียนราศีเมื่อไร ปรากฎว่าดาวเสาร์(๗)จะโคจรย้ายจากราศีตุลย์เข้าสู่ราศีพิจิก ในวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ.2557 โดยเคลื่อนไปกุมกับตำแหน่งของดาวอังคาร(๓)ในดวงกำเนิด

ผมขอพยากรณ์ว่า ท่านจะเป็นนายกฯไปจนถึงเกษียณอายุราชการ ผมหวังว่าจะเป็นอย่างนั้น แต่ถ้ายังเป็นต่อไป รับรองว่าท่านจะพบปัญหาใหญ่โตจนท่านไม่สามารถควบคุมได้ น่ากลัวมากนะครับ !!!


(อ่านต่อตอนต่อไปที่ <ดวงพล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา กับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 29>)

วันจันทร์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

พยากรณ์ดวงเมือง - การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ทางการเมืองปี 2558



(1) ดวงเมืองกรุงรัตนโกสินทร์
ช่วงนี้มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญทางการเมือง ก็คือการทำรัฐประหาร เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ.2557 เวลา 03:00 น. นำโดยพลเอก ประยุทธ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก

หรือนี่จะเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญครั้งใหญ่และของจริงกำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้เหมือนในอดีต

ผมเริ่มหาข้อมูลการวางฤกษ์ของกรุงรัตนโกสินทร์ ณ วันที่ 21 เมษายน พ.ศ.2325 เวลา 06:54 น. (รุ่งแล้ว 9 บาท) ได้ตามภาพ (1)

ผมเข้าใจโหรในสมัยนั้นดี ว่าทำไมจึงวางฤกษ์ให้ ดาวพุธ(๔) ดาวศุกร์(๖) และดาวราหู(๘) อยู่ในตำแหน่งวินาสน์กับลัคนา แต่ผมจะยังไม่กล่าวถึงในตอนนี้ เนื่องจากอาจจะทำให้ดูเยิ่นเย้อเกินไป เอาไว้จะเขียนวิจารณ์เรื่องของดวงเมืองแยกเป็นอีกบทความหนึ่งเลยจะดีกว่า

(2) ดวงเปลี่ยนแปลงการปกครอง
24 มิถุนายน พ.ศ.2475
เริ่มจากเหตุการณ์สำคัญในรอบ 84 ปี โดยดูจากดาวมฤตยูหรือยูเรนัส(๐)กำลังจะยกย้ายจากราศีมีนเข้าสู่ราศีเมษซึ่งเป็นราศีที่ลัคนาดวงเมืองสถิตอยู่
หมายเหตุ - ดาวมฤตยูโคจรรอบดวงอาทิตย์ใช้เวลาประมาณ 84 ปี

ครั้งแรกอยู่ในช่วงปี พ.ศ.2391-2392 ในปีนั้นสยามประเทศหยุดรบกับญวนโดยได้ดินแดนเขมรกลับคืนมาปกครอง แต่หลังจากนั้นแม่ทัพก็เสียชีวิตลงด้วยโรคห่า(อหิวาตกโรค)พร้อมกับประชาชนอีกหลายหมื่นคน

ครั้งที่สอง ก็คือปี พ.ศ.2475 สยามประเทศเปลี่ยนระบอบการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชเป็นระบอบประชาธิปไตยโดยพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข ดูจากภาพ(2) จะเห็นดาวมฤตยู(๐)กำลังจะเปลี่ยนจากราศีมีนเป็นราศีเมษ และโปรดสังเกตดาวอังคาร(๓) จะเห็นว่ากำลังโคจรอยู่ในราศีพฤษภซึ่งเป็นราศีเดียวกับดาวอังคาร(๓)ในดวงเมืองเดิม

(3) ดวงรัฐประหาร 20
ตุลาคม พ.ศ.2501
คราวนี้มาดูภาพ(3) เป็นปีที่มีการทำรัฐประหาร ให้สังเกตดาวใหญ่ได้แก่ ดาวเสาร์(๗)ในราศีพิจิก และดาวราหู(๘)ในราศีกันย์ ซึ่งเป็นมุมที่ให้โทษกับดวงเมือง ทำให้เกิดเหตุการณ์ร้ายต่างๆ

แต่ลองสังเกตดาวอังคาร(๓)อีกครั้ง จะเห็นว่าโคจรอยู่ในราศีพฤษภอีกแล้ว นั่นแสดงให้เห็นว่าดาวอังคาร(๓)มีส่วนอย่างแน่นอนในการสนับสนุนความรุนแรง

ดาวอีกดวงที่ต้องกล่าวถึงคือดาวพฤหัส(๕) กำลังโคจรอยู่ในราศีทวารของดวงเมืองคือราศีตุลย์ 

ย้อนกลับไปดูภาพ(2) ดาวพฤหัส(๕)ก็กำลังโคจรอยู่ในราศีทวารเช่นกัน ซึ่งก็คือราศีกรกฎ และโดยปกติแล้ว ดาวพฤหัส(๕)จะหมายถึงเรื่องของข้อกฏหมายต่างๆ บ่งบอกว่ากำลังจะมีการเปลี่ยนแปลงหรือกำลังพยายามปรับปรุง ถ้าโคจรอยู่ในราศีที่ดูแล้วสว่างสุกใส ก็จะมีการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างใหญ่โต

(4) การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
10-11 พฤษภาคม พ.ศ.2558
จากข้างต้นที่กล่าวมา คราวนี้เรามาดูตำแหน่งของดาวตามภาพ(4) ในวันที่ 10-11 พฤษภาคม พ.ศ.2558 ซึ่งผมได้พยายามตรวจสอบเปรียบเทียบกับสถิติที่ผ่านๆมา

ผมพบว่าดาวมฤตยู(๐) กำลังโคจรใกล้จะเปลี่ยนราศีจากมีนไปราศีเมษเหมือนกับปี พ.ศ.2475

ดาวเสาร์(๗) และดาวราหู(๘) อยู่ในมุมที่ให้โทษรุนแรงกับดวงเมืองเหมือนเมื่อปี พ.ศ.2501

ดาวอังคาร(๓) คอยสนับสนุนความรุนแรงอยู่ในราศีพฤษภ

และดาวพฤหัส(๕) โคจรให้แสงสว่างสุกใสในราศีกรกฎ

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ผมพยากรณ์ไว้ ณ ทีนี้เลยว่า 

"ในวันที่ 10-11 พฤษภาคม พ.ศ.2558 จะเป็นวันที่ประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยเป็นมา ทั้งในเรื่องของระบอบการปกครอง และกฎหมายรัฐธรรมนูญ โดยการเปลี่ยนแปลงจะมีการใช้อำนาจที่เด็ดขาดและรุนแรงจนมีผู้คนบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก"

ผมขอภาวนาว่า อย่าให้คำพยากรณ์ของผมในครั้งนี้เกิดขึ้นในประเทศไทยเลย สาธุ!






วันเสาร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

สุดยอดฤกษ์คลอด สิงหาคม ๒๕๕๗

เห็นดาวพฤหัส(Jupiter)กำลังโคจรผ่านกลุ่มดาวรูปคนคู่
หรือเมถุน(Gemini)เข้าสู่ขอบเขตของกลุ่มดาวรูปปู
หรือกรกฏ(Cancer)ในวันที่ ๑๗ มิถุนายนนี้ เวลาประมาณ 2 ทุ่มกว่าๆ

ถ้ามีกล้องดูดาว ส่องดูจะเห็นว่าดาวพฤหัสมีความสุกใสมากกว่าปกติ
ในทางโหราศาสตร์เรียกว่า “ดาวพฤหัสได้ตำแหน่งอุจ” ครับ

ผมอดรนทนไม่ได้ จนต้องเขียนบอกกล่าวสำหรับผู้ที่กำลังจะคลอดบุตร
ในเดือนสิงหาคมนี้ว่า ถ้าโชคดี ท่านจะได้บุตรที่วาสนาดีมากกกกก...

ดียังไงครับ
ก็เพราะในวันที่ ๑๑ สิงหาคมนี้ เวลา 5:01 – 5:53 ตอนเช้ามืด
เป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับเด็กที่จะลืมตาดูโลก
เด็กจะได้เกณฑ์ตามภาษาโหรเรียกว่า “จันทร์ คุรุ สุริยา”
คือดวงจันทร์ ดาวพฤหัส และดวงอาทิตย์
โคจรอยู่ในกลุ่มดาวราศีทวาร เมื่อเรามองจากโลกไปบนท้องฟ้า
ซึ่งได้แก่ กลุ่มดาวรูปแกะหรือราศีเมษ(Aries)
กลุ่มดาวรูปปูหรือราศีกรกฎ(Cancer)
กลุ่มดาวรูปคันชั่งหรือราศีตุลย์(Libra)
และกลุ่มดาวรูปแพะหรือราศีมังกร(Capricorn)

ตามตำราโบราณกล่าวว่า ดวงชะตาชีวิตจะไม่มีวันตกต่ำ
จะมีความเจริญรุ่งเรือง ก้าวหน้าในอาชีพการงาน
ถึงแม้เกิดในวงศ์ตระกูลที่ต่ำต้อยเพียงใด
ก็สามารถแทรกตัวเข้าไปในกลุ่มชนชั้นสูงได้
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ต้องเกิดในช่วงเวลาที่เหมาะสมด้วยครับ

เกณฑ์ต่อมาก็คือ “ปัญจมหาบุรุษโยค”
คือมีดาวที่ส่องแสงสว่างสุกใส ในภพเกณฑ์ ได้แก่
ภพตนุ อ่านว่า ตะ-นุ หมายถึง เจ้าตัวหรือเจ้าชะตาเอง
ภพพันธุ อ่านว่า พัน-ทุ หมายถึง วงศ์ตระกูล
ภพปัตนิ อ่านว่า ปัด-ตะ-หนิ หมายถึง คู่ครอง
และภพกัมมะ อ่านว่า กำ-มะ หมายถึง หน้าที่การงาน
โดยต้องทราบว่าลัคนาสถิตราศีอะไรก่อนนะครับ

ฤกษ์คลอดนี้ มีดาวพฤหัสส่องสว่างได้ตำแหน่งอุจอยู่ที่ภพตนุ
และดาวเสาร์ก็ได้ตำแหน่งอุจเช่นกัน อยู่ที่ภพพันธุ

เด็กที่ได้เกณฑ์นี้ ไม่ว่าจะอยู่วงการใด ก็จะมีความเด่นดัง
ได้เป็นใหญ่เป็นโต และเป็นที่รู้จักทั่วไปในวงการนั้นๆ
ถ้าทำงานเอกชน ก็จะมีตำแหน่งผู้จัดการเป็นอย่างน้อย
ถ้าทำงานข้าราชการพลเรือน ก็ต้องได้อธิบดีหรือปลัดกระทรวง
ถ้าทำงานข้าราชการทหารตำรวจ ก็ต้องได้เป็นผู้บัญชาการ
หรือถ้าเป็นนักการเมือง ก็ต้องได้เป็นหัวหน้าหรือเลขาธิการ

จริงๆแล้ว ยังมีกฏเกณฑ์ที่ไม่ได้กล่าวถึงอีกหลายประการ
แต่เอาเป็นว่า ขอรับรองด้วยประสบการณ์การตรวจดูดวงชะตา
มาเป็นระยะเวลาสิบกว่าปี ว่าฤกษ์คลอดนี้เป็น
สุดยอดแห่งฤกษ์คลอด ประจำเดือนสิงหาคม ๒๕๕๗
แน่นอนครับ







ฤกษ์แต่งงาน ๒๕๕๘ … ใครว่าง่ายๆ

ผมได้มีโอกาสวางฤกษ์แต่งงานให้กับบุตรของผู้หลักผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง
โดยมีข้อกำหนดว่า ข้อแรก เป็นพิธีแบบไทยผสมจีน
และข้อที่สอง คือต้องจัดให้เสร็จสิ้นภายในวันเดียวกันของปี ๒๕๕๘

แล้วมีพิธีอะไรมั่งล่ะครับ” ผมตั้งคำถาม เพราะเรื่องแต่งงานเนี่ย
มีขั้นตอนเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นการสู่ขอ ยกขันหมาก รดน้ำสังข์
ปูที่นอน ส่งตัว เรียงหมอน ไปจนถึงการจดทะเบียนสมรส

ก็มียกขันหมากแบบไทย ยกน้ำชาแบบจีน กินเลี้ยงโต๊ะจีน
และสุดท้ายส่งตัวเข้าเรือนหอ” ท่านตอบตามที่ท่านเคยทำมาแล้ว

ความกังวลใจเริ่มผุดเข้ามาในสมอง เพราะหลักการวางฤกษ์แต่งงาน
ตามหลักโหราศาสตร์ไทยนั้น มีพิธีรีตรองค่อนข้างมาก
ทุกพิธีที่เกี่ยวข้อง ต้องพยายามทำให้ได้ตามเวลาที่ฤกษ์กำหนดไว้
ยิ่งถ้ามีพิธีมาก ส่วนใหญ่แล้ว มักจะไม่จบภายในวันเดียว

เริ่มจากการเจรจาสู่ขอเจ้าสาว ฤกษ์สู่ขอก็เป็นฤกษ์หนึ่ง
ซึ่งก็ควรจะเป็นคนละวันกับพิธีอื่นๆ
ถึงเวลายกขันหมาก เจ้าบ่าวก็ต้องออกจากบ้านตามฤกษ์
แล้วก็ต้องเข้าบ้านเจ้าสาวตามฤกษ์เช่นกัน
พอถึงเวลาหลั่งน้ำสังข์แบบไทยหรือยกน้ำชาแบบจีน
ก็ต้องเป็นอีกฤกษ์หนึ่ง ที่สำคัญมากในการเริ่มชีวิตสมรส
จนกระทั่งถึงพิธีส่งตัวเจ้าสาว ซึ่งเป็นเวลาที่สำคัญสำหรับเจ้าบ่าว
ก็อาจเป็นอีกวันหนึ่งเลยก็ได้
ก่อนหน้านั้นก็อาจต้องนอนเฝ้าเรือนหอคนเดียวไปก่อน

แล้วผมจะหาวันที่ดีเลิศในวันเดียวแบบนี้ได้ยังไงล่ะครับ
ผมขอวันเดือนปีเกิด จังหวัดเกิด และเวลาตกฟากของคู่บ่าวสาว
มาวิเคราะห์ดวงชะตากำเนิดเกี่ยวกับชิวิตสมรส
ปรากฎว่ามีชีวิตสมรสที่ไม่ค่อยมีความสุขนัก
ดังนั้นการได้ฤกษ์ที่ดี ก็อาจช่วยให้ชีวิตคู่มีความมั่นคงยั่งยืนขึ้น
มีความเจริญก้าวหน้ามากขึ้น และมีความสุขมากขึ้นนั่นเอง

หลังจากนั้น ผมเริ่มดูวันที่มี “ดิถีเรียงหมอน” ประจำปี ๒๕๕๘
ซึ่งเป็นวันที่ใช้สำหรับวางฤกษ์ส่งตัว
ตามหลักโหราศาสตร์ไทยกำหนดให้เป็นวันขึ้น ๗, ๑๐, ๑๓ ค่ำ
หรือวันแรม ๔, , ๑๐, ๑๔ ค่ำ เท่านั้นครับ

และเนื่องจากต้องการให้พิธีเสร็จในวันเดียวกัน
ผมก็เลยต้องใช้วันขึ้นแรมข้างต้น มาหาลัคนาฤกษ์ของพิธีต่างๆ

เจ้าบ่าวยกขันหมากออกจากบ้านให้ใช้ “ฤกษ์ออก” ได้แก่
-อัศวินี, -ภรณี, -ปุนัพสุ, -บุษยะ, -อาศเลษา, ๑๔-จิตรา,
๑๕-สวาติ, ๑๖-วิศาขา, ๒๑-อุตราษาฒ, ๒๒-ศรวณะ หรือ ๒๓-ธนิษฐา

เจ้าบ่าวยกขันหมากเข้าบ้านเจ้าสาวให้ใช้ “ฤกษ์เข้า” ได้แก่
-กฤติกา, -โรหิณี, -มฤคศิระ, ๑๐-มาฆะ, ๑๑-บุรพผลคุนี,
๑๒-อุตรผลคุนี, ๑๗-อนุราธา, ๑๘-เชษฐา, ๑๙-มูลา,
๒๔-ศตภิษัช, ๒๕-บุรพภัทรบท หรือ ๒๖-อุตรภัทร

พิธีรดน้ำสังข์หรือยกน้ำชาเป็นขั้นตอนสำคัญที่สุด
ดังนั้นต้องเป็นฤกษ์ที่สมบูรณ์ที่สุดทั้งลัคนาและฤกษ์จันทร์
เปรียบเหมือนเป็นดวงชะตากำเนิดของคน
ส่วนงานกินเลี้ยงเป็นเพียงส่วนประกอบเท่านั้น

ส่วนฤกษ์ส่งตัว นอกจากต้องเป็นวันที่มี “ดิถีเรียงหมอน” แล้ว
ยังต้องใช้ “ฤกษ์เข้า” อีกด้วย

ตามกฎเกณฑ์ที่กล่าวมา ผมพบว่า ในปีหน้านั้น วันที่เหมาะสมก็คือ

วันอาทิตย์ที่ ๒๙ มีนาคม พ.. ๒๕๕๘ ขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือน ๕ ปีมะแม

เจ้าบ่าวเริ่มยกขันหมากออกจากบ้านระหว่างเวลา 8:22 – 8:34
ลัคนาฤกษ์คือ อัศวินี

เจ้าบ่าวเริ่มยกขันหมากเข้าบ้านเจ้าสาวระหว่างเวลา 9:28 – 10:43
ลัคนาฤกษ์คือ กฤติกา

เริ่มรดน้ำสังข์หรือยกน้ำชาโดยผู้หลักผู้ใหญ่ที่นับถือของงาน
ระหว่างเวลา11:33 – 12:04 ลัคนาสถิตราศีเมถุน เทวีฤกษ์

หลังจากนั้นคู่บ่าวสาวก็สามารถรับประทานอาหาร พักผ่อน
และเริ่มเตรียมตัวสำหรับงานเลี้ยงได้ต่อไป

เมื่อเสร็จจากงานเลี้ยง ก็เข้าสู่ขั้นตอนสุดท้ายคือ
พิธีส่งตัวเจ้าสาวเข้าสู่เรือนหอซึ่งเริ่มได้ระหว่าง22:42 – 23:45
ลัคนาฤกษ์คือ อนุราธา

ทั้งหมดนี้ เป็นพิธีแต่งงานและฤกษ์ต่างๆที่นิยมปฏิบัติกัน
ส่วนเวลาของทุกฤกษ์ที่กล่าวมา จะคำนวณที่กรุงเทพมหานครเท่านั้น
ถ้าเป็นจังหวัดอื่นๆ ก็คงต้องคำนวณเวลากันใหม่
แต่คงแตกต่างกันไม่มากนัก

ส่วนใครต้องการนำฤกษ์นี้ไปใช้ ก็สามารถใช้ได้ ไม่สงวนลิขสิทธิ์

มีรูปดวงชะตาแนบท้ายให้ด้วยครับ

เลือกรัตนชาติ อัญมณี อย่างไรให้ถูกโฉลก

มีวิธีการเลือกมากมายหลายตำรา แต่ผมเป็นคนไทย
ขอยึดตามตำราไทยที่ชื่อว่า ตำรานพรัตน์โบราณ ก็แล้วกัน
หลักเกณฑ์ก็ไม่มีอะไรมากมาย เพียงแค่รู้วันเกิด หรือ เดือนเกิด
หรือ ปีเกิดทางจันทรคติ ก็เพียงพอแล้ว

ทีนี้เรามาดูตารางข้างล่างซึ่งแสดงอัญมณีที่ถูกโฉลกกันดีกว่า

วันเกิด
เดือนเกิด
ปีนักษัตร
อัญมณี
อาทิตย์
อ้าย
ชวด
ปัทมราช(ทับทิม)
จันทร์
ยี่
ฉลู
มุกดาหาร
อังคาร
สาม
ขาล
แก้วประพาฬ(ปะการัง)
พุธ
สี่
เถาะ
มรกต
พฤหัสบดี
ห้า
มะโรง
ไพฑูรย์(ตาแมว)
ศุกร์
หก
มะเส็ง
เพชร
เสาร์
เจ็ด
มะเมีย
นิลกาฬ(ไพลิน)

แปด
มะแม
ปัทมราช(ทับทิม)

เก้า
วอก
มุกดาหาร

สิบ
ระกา
แก้วประพาฬ(ปะการัง)

สิบเอ็ด
จอ
มรกต

สิบสอง
กุน
ไพฑูรย์(ตาแมว)

เริ่มจากช่องวันเกิด ในทางโหราศาสตร์จะมีข้อควรพิจารณาคือ
ถ้าดวงอาทิตย์ยังไม่ขึ้นให้ถือว่ายังไม่ขึ้นวันใหม่
เช่น เกิดวันอาทิตย์ เวลาตีสาม ตามหลักสากล
แต่ตามหลักโหราศาสตร์ไทยแล้ว จะถือว่ายังเป็นวันเสาร์อยู่นะครับ

การนับเดือนเกิด ก็จะเริ่มจากเดือนอ้าย คือเดือนธันวาคม
เดือนยี่ คือเดือนมกราคม เดือนสาม คือเดือนกุมภาพันธ์ …
จนถึงเดือนสิบสอง คือเดือนพฤศจิกายน

ส่วนการนับปีนักษัตร จะมีหลายกฎเกณฑ์
ผมขอนับตามวันสงกรานต์ ซึ่งง่ายที่สุดก็แล้วกัน
คือจะเปลี่ยนปีนักษัตรในวันสงกรานต์
ไม่ใช่วันปีใหม่หรือวันที่ 1 มกราคมนะครับ

เอาล่ะครับ ทีนี้เรามาเริ่มดูอัญมณีที่ถูกโฉลกกัน

สมมติว่าเราเกิดวันเสาร์ เดือนสิบสอง ปีชวด
อัญมณีที่ถูกโฉลกก็จะได้แก่ นิลกาฬ(ไพลิน) ไพฑูรย์(ตาแมว)
และปัทมราช(ทับทิม) นั่นหมายถึงว่า
ถ้าจะให้ดี ก็ควรใช้อัญมณีทั้งสาม มาประดับพร้อมๆกัน
ซึ่งคงต้องลงทุนมากหน่อย หรือจะเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้
มองอีกแง่หนึ่งคือมีโอกาสเลือกได้มากกว่านั่นเอง

แต่ถ้าสมมติว่าเราเกิดวันพฤหัส เดือนสิบเอ็ด ปีมะโรง
ก็จะมีอัญมณีที่ถูกโฉลกเพียง 2 ชนิดคือ ไพฑูรย์(ตาแมว) และมรกต
ก็จะสิ้นเปลืองงบประมาณน้อยลงหน่อย แต่มีโอกาสเลือกน้อยลง

หรือถ้าเราเกิดเดือนเก้า ปีวอก
ก็จะมีอัญมณีที่ถูกโฉลกเพียงชนิดเดียวคือ มุกดาหาร
ซึ่งดูเหมือนจะเปลืองงบน้อยที่สุด แต่ก็มีโอกาสเลือกน้อยที่สุดตามไปด้วย

แต่หลายคนคงไม่รู้จักหรือไม่เคยเห็นอัญมณีบางชนิดตามที่ได้กล่าวมา
ผมก็มีรูปตัวอย่างมาให้ดูกัน เผื่อจะได้จดจำกันไปเลือกซื้อหามาเป็นเจ้าของ
ส่วนจะนำมาทำเป็นเครื่องประดับอย่างไรนั้น
คงต้องไปเลือกกันเอาเองนะครับ

ปัทมราช(ทับทิม)
Ruby

มุกดาหาร
Moonstone

แก้วประพาฬ
Coral

มรกต
Emerald
เพชร
Diamond

นิลกาฬ(ไพลิน)
Blue sapphire

ไพฑูรย์(ตาแมว)
Chrysoberyl

เรื่องของ"ลัคนา"

เคยซื้อหนังสือดูดวงตามปีนักษัตร ชวด ฉลู ขาล เถาะ … มาอ่านมั๊ยครับ
ตอนเพิ่งจบมหาวิทยาลัยมาหมาดๆ ผมได้ทำงานกับเพื่อนรุ่นเดียวกันหลายสิบคน
พอทุกคนได้อ่านดวงจากหนังสือของผม ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า
“งั้นดวงของมึงกับพวกกูก็เหมือนกันหมดเลยสิวะ เกิดปีเดียวกันนี่หว่า”
มันพูดเชิงเสียดสีและแดกดัน เพราะตอนขึ้นเงินเดือน ดันขึ้นไม่เท่ากัน
แถมบางคนได้เลื่อนตำแหน่งอีกต่างหาก ทั้งๆที่ไม่น่าจะได้
หลังจากนั้นผมก็เลยไม่ซื้อหนังสือดูดวงแบบนี้มาอ่านอีกเลย

ยังไม่เข็ดครับ ผมซื้อหนังสือดูดวงตามราศี เมษ พฤษภ เมถุน … มาอ่านอีก
ที่เขาบอกว่า “ราศีเมษ หรือท่านที่เกิดวันที่ 15 เมษายน – 15 พฤษภาคม ...”
คราวนี้เพื่อนกลุ่มเดิม ดันมีคนเกิดเดือนเดียวกันกับผม แต่ห่างกัน 1 สัปดาห์
มันบอกว่า “ทำไมดวงมึงไม่เห็นเหมือนกูเลย เพราะเดือนหน้ากูลาออกแล้ว”
ใช่ครับ ผมยังไม่ออก แถมยังต้องเสียตังค์เลี้ยงส่งมันอีก
ก็เหมือนครั้งที่แล้วครับ ไม่มีข้อโต้แย้งใดๆออกมาจากปากผม

ผมได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจ และเก็บหนังสือเล่มนั้นไว้ในตู้ ...

เหตุการณ์ผ่านไปเกือบ 10 ปี ผมเริ่มศึกษาโหราศาสตร์อย่างจริงจัง
ถึงได้รู้ว่า คนเราเกิดปีเดียวกัน หรือ เกิดเดือนเดียวกัน
หรือ แม้กระทั่งเกิดวันเดือนปีเดียวกันก็ตาม
ดวงไม่จำเป็นต้องเหมือนกันอย่างที่เพื่อนๆผมมันเสียดสีจริงๆนั่นแหละ
แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดๆก็คือ “เวลาเกิด” หรือ “เวลาตกฟาก”
และจังหวัดที่เกิดนั่นเอง ที่ไม่มีหนังสือดูดวงเล่มใดกล่าวไว้
นี่คือสิ่งที่ทำให้ดวงของเพื่อนๆผมแตกต่างกันนั่นเอง …

แล้วโหราศาสตร์นำเรื่องของเวลาตกฟากและจังหวัดที่เกิด
มาแยกเอกลักษณ์ของแต่ละบุคคลอย่างไร?

“ลัคนา” ก็คือคำตอบครับ

โดยนิยามแล้ว ลัคนาคือจุดอ้างอิงใดๆบนท้องฟ้าทางทิศตะวันออก
เมื่อมองออกไปในแนวราบขณะที่สิ่งใดๆเกิดขึ้น ณ แห่งใดแห่งหนึ่ง
ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ หรือเหตุการณ์ต่างๆ

สรุปง่ายๆ ลัคนาก็คือตัวแทนที่แท้จริงของสิ่งใดก็ตามที่เราสนใจ
เช่น ถ้าดูดวงคน ลัคนาก็คือตัวแทนของคนๆนั้น 
ถ้าดูดวงเมือง ลัคนาก็คือตัวแทนของเมืองๆนั้น
โดยนำวันเดือนปีเกิด เวลาตกฟาก และจังหวัดที่เกิด มาคำนวณ
ผลลัพธ์ก็คือตำแหน่งจริงๆที่ปรากฎบนท้องฟ้า

ในการอ้างอิงตำแหน่งใดๆบนท้องฟ้า ถ้าเราระบุเป็น องศา ลิปดา …
ก็คงจะเข้าใจได้ยาก ดังนั้นเพื่อให้เข้าใจได้ง่ายๆ สื่อสารกันเข้าใจง่ายๆ
ในทางโหราศาสตร์จะแบ่งท้องฟ้าออกเป็น 12 ราศีตามกลุ่มของดาวฤกษ์
แล้วดูว่าขณะเกิดนั้น กลุ่มดาวฤกษ์อะไรที่เรามองเห็นตามนิยามลัคนา
สมมติว่าเรามองเห็นกลุ่มดาวรูปคันชั่ง ภาษาโหรก็จะกล่าวว่า
“ลัคนาสถิตราศีตุลย์” หมายถึง ตอนเกิดเราจะมองเห็นกลุ่มดาวคันชั่ง
อยู่ทางทิศตะวันออกนั่นเอง


ทีนี้ก็จะเริ่มเป็นปัญหาของท่านทั้งหลายแล้วว่า
แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่า ท่านทั้งหลายเป็นคนราศีอะไร?
คำตอบมีได้หลายแนวทางครับ
ข้อแรก เตรียมวันเดือนปีเกิด เวลาตกฟากและจังหวัดเกิด แล้วไปถามหมอดู
ซึ่งก็อาจจะเสียค่าใช้จ่ายบ้าง แล้วแต่ความดังของหมอดู
ข้อสอง ซื้อโปรแกรมโหราศาสตร์มาช่วยคำนวณ ราคาก็หลายร้อยบาทขึ้นไป
ข้อสาม ใช้บริการเว็บไซต์เกี่ยวกับโหราศาสตร์ อันนี้ไม่เสียตังค์ครับถ้ารู้วิธี
ข้อสี่ กดไลค์(Like)ในเพจโหรพิเภก(www.facebook.com/astrologer.pipek
แล้วแจ้งข้อมูลวันเดือนปีเกิด เวลาตกฟากและจังหวัดเกิด 
ผมจะคำนวณและตอบให้ทางเพจครับ อันนี้ก็ไม่เสียตังค์เช่นกัน
ข้อห้า ซิ้อตำราโหราศาสตร์มาศึกษาวิธีคำนวณเอง สำหรับผู้ที่ต้องการศึกษา
อันนี้เสียตังค์ค่าตำราแน่นอน แต่อนาคตอาจได้ตังค์คืนถ้าทำเป็นอาชีพ
ข้อสุดท้าย ดูจากตารางตามรูปด้านล่างนี้ครับ วิธีนี้ ถึงจะง่ายที่สุด
แต่ความคลาดเคลื่อนจะมีมากที่สุด ใช้สำหรับผู้ที่พอจะมีความรู้โหราศาสตร์นะครับ



เริ่มจากดูวันเดือนเกิดและเวลาตกฟาก
ช่องที่ลากตามแนวตั้งและแนวนอนมาบรรจบกันคือ ลัคนา
ถ้าได้ลัคนาแล้ว ให้นำลัคนาไปอ่าน “พยากรณ์ชะตาชีวิต ปี2557” หรือ
"พิเภกพยากรณ์ดวงชะตาประจำปี 2558" ในเว็บนี้
ให้อ่านพยากรณ์ตามลัคนาที่ได้มา ลัคนาก่อนหน้า และลัคนาถัดไปทั้งสามราศี
ถ้าเหตุการณ์ตรงกับราศีใด ก็ถือว่าราศีนั้นคือลัคนาที่จะนำไปใช้ในการ
ดูดวงอย่างละเอียดกับหมอดูตัวจริงได้ครับ

ข้อสำคัญอีกประการหนึ่งคือ เวลาตกฟากของคุณเป็นของจริงหรือไม่?
ในสมัยปัจจุบัน ส่วนใหญ่คลอดที่โรงพยาบาล หมอจะบันทึกเวลาได้ค่อนข้างตรงอยู่แล้ว
เราก็เลยใช้เวลาตามสูติบัตรได้เลย แต่ถ้าไม่ทราบจริงๆล่ะ จะทำอย่างไร
อันนี้แนะนำว่าควรจะถามมารดาของคุณ จะค่อนข้างใกล้เคียงที่สุด
เช่นแม่บอกว่าเกิดตอนพระกำลังบิณฑบาตร ก็แสดงว่าเกิดประมาณ6-7โมงเช้าครับ

จริงๆแล้วมีวิธีการตรวจสอบว่าเป็นลัคนาที่ใช่แบบอื่นๆอีก
แต่ขอเก็บไว้เขียนคราวต่อไปดีกว่า
อย่างไรก็ตาม ขอให้มั่นใจได้เลยว่า
ถ้าเป็นลัคนาที่ถูกต้องแล้ว จากประสบการณ์ที่ผ่านมา
การพยากรณ์จะมีความแม่นยำมาก มากแค่ไหน?
ก็ขอบอกเป็นช่วงความเชื่อมั่น(Confident interval) 80-100% ก็แล้วกันครับ