วันเสาร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2565

เหรียญคริปโต(Crypto currency) กับ โหราศาสตร์ไทย (ตอนที่ 2)

การใช้โหราศาสตร์ไทยทำกำไรจากคริปโต

จากการเฝ้าติดตามราคาซื้อขาย โดยส่วนใหญ่แทบทุกสกุลมักจะเป็นไปในแนวทางเดียวกัน ถ้าขึ้นก็ขึ้นพร้อมๆกันหรือไล่เลี่ยกัน ถ้าลงก็จะลงใกล้เคียงกัน แตกต่างกันที่เปอร์เซนต์ขึ้นลงของราคา มากน้อยไม่เท่ากัน มีเป็นส่วนน้อยที่ราคาขึ้นลงไปในทางตรงกันข้าม 

บางคนเทรดแล้วได้กำไร ในขณะเดียวกันก็มีคนขาดทุน ทำไมถึงไม่ได้กำไรทั้งหมด หรือขาดทุนทั้งหมดพร้อมๆกัน ทั้งๆที่ราคาขึ้นลงในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน

เรื่องข่าวสารต่างๆก็เช่นเดียวกัน ช่วงที่มีข่าวร้ายๆ ทำไมราคาร่วง ถ้าข่าวดีๆ ทำไมราคารุ่ง และจะรู้ได้อย่างไรว่าจะมีข่าวดีร้ายช่วงใด อีกทั้ง จะรู้ได้อย่างไรว่าคนส่วนใหญ่กำลังตัดสินใจเข้าซื้อหรือขาย

เป็นไปได้หรือไม่ ที่จะนำหลักการทางโหราศาสตร์ไทยมาทำนายการขึ้นๆลงๆของราคา เพื่อทำกำไรให้ได้สูงสุด และมีปัจจัยอะไรบ้างทางโหราศาสตร์ที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ข้างต้นเช่นนี้ เราลองมาดูกันเป็นประเด็นๆดังต่อไปนี้ อ้อ ! ต้องมีพื้นฐานความรู้โหราศาสตร์ไทยบ้างนะครับ

หมายเหตุ ในบทความชุดนี้ จะอ้างอิงข้อมูลราคาซื้อขายจากสกุลเงินบิทคอยน์เป็นหลัก

ดาวศุกร์(๖) การเงินของโลก


การเงินของโลกจะอยู่ในช่วงขาขึ้นสูงสุดหรือขาลงต่ำสุดเมื่อไร เป็นประเด็นสำคัญที่ควรพิจารณาเป็นลำดับต้น เพราะช่วงที่การเงินโลกดี จะเป็นช่วงตลาดขาขึ้น เทรดเดอร์ก็ควรจะถือไว้จนกว่าราคาจะขึ้นไปสูงสุดแล้วจึงขาย เพื่อจะได้ทำกำไรได้สูงสุด และช่วงที่การเงินโลกย่ำแย่ จะเป็นช่วงตลาดขาลง ก็ควรเฝ้ารอเวลาจนกว่าราคาจะลงไปต่ำสุดแล้วจึงเข้าซื้อ เพื่อให้ได้ต้นทุนที่ต่ำที่สุด

ทีนี้เราจะมาดูกันว่า มีปัจจัยอะไรบ้าง ที่ส่งผลต่อการเงินโลก

ในเชิงโหราศาสตร์ จะถือว่าลัคนา(ลั)ของโลกสถิตราศีเมษ ดังนั้นราศีพฤษภก็คือเรือนการเงินของโลก ส่วนดาวประจำราศีพฤษภ คือ ดาวศุกร์(๖) เป็นดาวการเงินของโลกนั่นเอง

โดยทั่วไป เมื่อดาวศุกร์(๖)จร โคจรปกติสถิตราศีที่ให้คุณได้แก่ ราศีพฤษภ และราศีตุลย์ ในตำแหน่งเกษตร ทำให้กระแสการเงินมีปริมาณมาก จะเกิดการซื้อมากกว่าการขาย ราคาก็เลยสูงขึ้นตามไปด้วย 

ถ้าดาวศุกร์(๖)จร โคจรปกติสถิตราศีที่ให้โทษได้แก่ ราศีเมษ และราศีพิจิก ในตำแหน่งประ ทำให้กระแสการเงินมีปริมาณน้อย จะเกิดการขายมากกว่าการซื้อ ราคาก็เลยต่ำลง

แต่ก็มีข้อพิจารณาเพิ่มเติมอีกหลายกรณี ได้แก่

- ช่วงที่ดาวศุกร์(๖)จร โคจรถอยหลัง มีแนวโน้มที่ราคาลดต่ำลงหรือชะลอตัว
- ถ้าดาวศุกร์(๖)จร โคจรร่วมกับดาวจรดวงอื่นที่ให้โทษ ไม่ว่าจะเป็นดาวศุภเคราะห์หรือบาปเคราะห์ก็ตาม มีแนวโน้มที่ราคาจะลดต่ำลง
- ถ้าดาวศุกร์(๖)จร โคจรร่วมกับดาวจรดวงอื่นที่ให้คุณ ไม่ว่าจะเป็นดาวศุภเคราะห์หรือบาปเคราะห์ก็ตาม มีแนวโน้มที่ราคาจะสูงขึ้น

อย่างไรก็ดี เราควรพิจารณาปัจจัยอื่นๆที่ส่งผลต่อราคา ดังจะอธิบายในหัวข้อถัดไป

ดาวพุธ(๔) โลกแห่งข่าวสาร


เช่นเดียวกับเรื่องการเงิน เมื่อนับจากลัคนาสถิตราศีเมษอันเป็นดวงของโลก ราศีเมถุนคือเรือนแห่งการติดต่อสื่อสารต่างๆไม่ว่าจะเป็นหนังสือ โทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ การขนส่ง ฯลฯ ส่วนดาวประจำราศีเมถุนคือดาวพุธ(๔) จึงถือเป็นดาวแห่งข่าวสารโลก

และแน่นอนว่า ถ้าดาวพุธ(๔)จร โคจรปกติสถิตราศีที่ให้คุณได้แก่ ราศีเมถุนและราศีกันย์ ในตำแหน่งเกษตร มักจะมีข่าวสารดีๆ ส่งเสริมให้ราคามีแนวโน้มสูงขึ้น แต่ถ้าโคจรสถิตราศีที่ให้โทษได้แก่ ราศีธนูและราศีมีน ก็มักจะเกิดข่าวที่ไม่ค่อยสู้ดี ทำให้ราคามีแนวโน้มต่ำลง

บางทีการโคจรพักร์(ถอยหลัง)ของดาวพุธ(๔)จร ก็ทำให้ข่าวดีหรือข่าวร้ายชะลอออกไป หรือข่าวดีกลายเป็นข่าวร้าย หรือข่าวร้ายกลายเป็นดีได้

เนื่องจากดาวพุธ(๔)เป็นดาวเคราะห์วงในซึ่งอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากกว่าโลกเช่นเดียวกับดาวศุกร์(๖) ดังนั้น ทั้งเรื่องการเงินและข่าวสารก็จะต้องดำเนินควบคู่กันไปด้วยระยะเวลาที่ไม่แตกต่างกันมากนัก ไม่ว่าจะดีหรือร้ายก็ตาม (ทั้งดาวพุธและดาวศุกร์จะโคจรห่างจากดวงอาทิตย์ไม่เกิน2ราศี)

แน่นอนว่า ในช่วงเวลาที่ราคาขึ้นๆลงๆไปตามดาวศุกร์(๖)และดาวพุธ(๔) ซึ่งกินระยะเวลาหลายวัน อาจเป็นเดือน หรือ 2 เดือน แล้วเราจะเข้าไปซื้อขายช่วงไหนดี หัวข้อถัดไปเป็นคำตอบ ...

ดาวจันทร์(๒) ดาวแห่งประชากรโลก


โดยหลักการของโหราศาสตร์ จะถือว่า ดาวจันทร์(๒)เป็นตัวแทนของประชากรโลก อาจเป็นเพราะดวงจันทร์มีแรงดึงดูดส่งผลต่อปริมาณน้ำทั้งโลก ทำให้เกิดน้ำขึ้นน้ำลง และในร่างกายของมนุษย์ก็ประกอบไปด้วยน้ำเช่นกัน จึงทำให้อารมณ์และการตัดสินใจผันแปรขึ้นลงไปตามการโคจรของดวงจันทร์ด้วย

ช่วงที่ดาวจันทร์(๒)จร โคจรเข้าสู่ตำแหน่งอุจซึ่งให้คุณสูงสุดในราศีพฤษภ เป็นช่วงที่ผู้คนมักจะตัดสินใจเข้าซื้อ ทำให้ราคามักจะขึ้นสูงตามกำลังซื้อ หลักการนี้ใช้ได้โดยไม่มีข้อยกเว้น แต่เนื่องจากดาวจันทร์(๒)มีคาบการเปลี่ยนราศีค่อนข้างสั้นประมาณ 2 วัน ดังนั้นการเข้าทำการขายให้ได้กำไรสูงสุด ก็ต้องเลือกช่วงเวลาให้ดีและให้ทันในห้วง 2 วันดังกล่าว

ในทางตรงกันข้าม ช่วงที่ดาวจันทร์(๒)จร โคจรเข้าสู่ราศีพิจิกซึ่งเป็นตำแหน่งนิจ ผู้คนมักทำการขาย ราคาจะตกต่ำลง จึงเป็นช่วงเวลาที่ต้องเข้าซื้อให้ทัน เพื่อให้ได้ราคาที่ต่ำที่สุด

หลังจากดาวจันทร์(๒)จร โคจรผ่านราศีพฤษภและราศีพิจิกไปแล้ว ก็มีหลักเกณฑ์อื่นที่ควรพิจารณา ได้แก่

- ถ้าดาวจันทร์(๒)จร โคจรร่วมกับดาวจรดวงอื่นที่ให้โทษ ไม่ว่าจะเป็นดาวศุภเคราะห์หรือบาปเคราะห์ก็ตาม มีแนวโน้มที่ราคาจะลดต่ำลง
- ถ้าดาวจันทร์(๒)จร โคจรร่วมกับดาวจรดวงอื่นที่ให้คุณ ไม่ว่าจะเป็นดาวศุภเคราะห์หรือบาปเคราะห์ก็ตาม มีแนวโน้มที่ราคาจะสูงขึ้น

วิเคราะห์กราฟด้วยหลักโหราศาสตร์ไทย


ทีนี้ลองมาดูและวิเคราะห์กราฟ ด้วยหลักการตามที่กล่าวมาข้างต้น ว่ามีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงใด


(โปรดติดตามตอนต่อไป)



วันเสาร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2565

เหรียญคริปโต(Crypto currency) กับ โหราศาสตร์ไทย (ตอนที่ 1)

ผมติดตามเรื่องของเงินดิจิตัลหรือเรียกทับศัพท์ว่า "คริปโตเคอเรนซี่" มานานหลายปีแล้ว แต่ก็ไม่ได้ลงลึกในรายละเอียดถึงความเป็นมา ข้อมูลการซื้อขาย และการลงทุนมากมายนัก ได้แต่อ่านข่าวไปวันๆเท่านั้น เพิ่งจะมีโอกาสได้เข้าไปทดลองลงทุนบ้างนิดหน่อยเมื่อปีที่แล้ว เพื่อประดับเป็นความรู้เอาไว้ เพราะเดี๋ยวจะตามโลกที่กำลังมีการเปลี่ยนแปลงไม่ทัน โดยเฉพาะเทคโนโลยีทางการเงิน และที่สำคัญคือ ผมต้องการค้นคว้าว่า การลงทุนเพื่อทำกำไรให้ได้นั้น เราจะใช้โหราศาสตร์ไทยมาช่วยในการพยากรณ์ราคาหรืออัตราแลกเปลี่ยนของคริปโตเคอเรนซี่ได้อย่างไร ... มาดูกัน

คริปโต อะไร ?

ก่อนอื่น ขอเกริ่นนำแบบสรุป คร่าวๆ ง่ายๆ ให้ฟังก่อนสำหรับผู้ที่ยังไม่ทราบว่า คริปโตเคอเรนซี่ คืออะไร มีวิธีการใช้อย่างไรบ้าง ต่อไปนี้ผมจะเรียกสั้นๆว่า คริปโต ก็แล้วกันครับ

- คริปโต คือ สกุลเงินรูปแบบหนึ่ง มีอยู่บนเครื่องคอมพิวเตอร์ต่างๆทั่วโลก ไม่ต้องใช้โลหะหรือกระดาษเหมือนสกุลเงินทั่วไป(Fiat currency)ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน

- คริปโตสกุลแรกที่เป็นที่รู้จักไปทั่วโลกคือ บิทคอยน์(Bitcoin) ถือกำเนิดขึ้นในปีพ.ศ.2552 ถัดมาคือ อีเธอเรียม(Ethereum) ถือกำเนิดขึ้นในปีพ.ศ.2558 ส่วนสกุลอื่นๆที่เกิดตามมาก็จะใช้พื้นฐานเดียวกันกับ 2 สกุลนี้

- การลงทุนทำได้โดยใช้สกุลเงินทั่วไปหรือคริปโตเองก็ได้ เข้าซื้อ-ขายตามอัตราแลกเปลี่ยน ผ่านตัวแทนต่างๆเช่น CoinBase, Binance, Zipmex, Bitkub, ... ซึ่งต้องทำการเปิดบัญชีไว้ก่อน เหมือนกับบัญชีธนาคาร มักจะเรียกบัญชีเหล่านี้ว่า กระเป๋า(Wallet) ส่วนตัวแทนต่างๆเรียกว่า ตลาด ทำหน้าที่คล้ายๆตลาดหุ้นหรือตลาดแลกเปลี่ยนเงินตรา

- ผลกำไรเกิดจากการซื้อถูกแล้วขายในราคาที่แพงกว่า โดยการคาดการณ์ราคาจากกราฟที่ตัวแทนหรือตลาดต่างๆได้จัดทำแอป หรือเว็บไซต์ ไว้ให้สำหรับนักเทรด(Trader)หรือผู้ทำการซื้อขาย

- เทคโนโลยีที่ใช้อยู่เบื้องหลังคริปโตคือ บล็อกเชน(Blockchain) ทำหน้าที่ยืนยันและบันทึกรายการเคลื่อนไหวต่างๆเช่น การซื้อ ขาย และโอน ของแต่ละกระเป๋า โดยมีการเข้ารหัสไว้ทุกๆรายการ
- ผู้ที่ทำหน้าที่ยืนยันรายการเคลื่อนไหวต่างๆนั้นเรียกว่า นักขุด(Miner) ซึ่งจะมีเครื่องคอมพิวเตอร์ที่บรรจุโปรแกรมระบบบล็อกเชนไว้ภายใน โดยนักขุดจะได้รับผลตอบแทนเป็นคริปโตจากการยืนยันรายการเป็นผลสำเร็จ แต่ก็ต้องแข่งกันยืนยันกับเครื่องอื่นๆที่มีอยู่ทั่วโลก ใครมีเครื่องแรงๆก็ได้เปรียบ

- ราคาคริปโตมีความผันผวนสูง ขึ้นอยู่กับหลายๆปัจจัย เช่น ข่าวดีทำให้ราคาขึ้นสูง ข่าวร้ายทำให้ราคาตก การเก็งกำไรจากนักเทรดรายใหญ่ ฯลฯ บางปัจจัยก็ดูเหมือนไม่น่าจะเกี่ยวข้องแต่ก็เกี่ยว ทำให้คาดเดาได้ยากว่าราคาจะขึ้นหรือลงกันแน่

- ในปัจจุบัน การซื้อขายสินค้าด้วยคริปโต ยังไม่เป็นที่นิยมในประเทศไทยมากนัก เนื่องจากมีปัญหาหลายประการ เช่น ยังไม่มีการเตรียมตัวถึงผลกระทบกับเงินบาทเท่าที่ควร กฎหมายยังไม่เอื้ออำนวย ความพร้อมของประชาชนยังไม่เพียงพอ รวมทั้งเทคโนโลยีก็ยังพัฒนาอยู่ในวงจำกัด


คริปโต เมื่อไร ?

ดาวมฤตยู(๐)ในปีพ.ศ.2552-2558
สำหรับประทศไทยนั้น เริ่มมีการซื้อขายคริปโตมานานแล้ว หลังจากที่คริปโตเกิดขึ้นในโลกได้ไม่นานนัก ถ้านำหลักโหราศาสตร์ไทยมาจับกับดวงเมืองไทย ก็จะพบว่า ในช่วงปีพ.ศ.2552-2558 ดาวมฤตยู(๐)จร โคจรทับดาวศุกร์(๖)กำเนิดซึ่งเป็นดาวเจ้าเรือนกดุมภะ(การเงิน)ในเรือนวินาสน์

ดาวมฤตยู(๐)คือดาวที่ใช้พยากรณ์ถึงเหตุการณ์ที่มักจะเปลี่ยนแปลงแบบทันทีทันใด หรือเปลี่ยนแบบหน้ามือเป็นหลังมือ บางทีก็หมายถึงความก้าวหน้าของเทคโนโลยีใหม่ๆ หรือแม้กระทั่งโหราศาสตร์ก็ได้ และมีคาบการโคจรราศีละ 7 ปีโดยประมาณ

ในกรณีนี้พยากรณ์ได้ว่า ปีพ.ศ.2552-2558 จะมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเกี่ยวกับการเงินแต่ยังไม่เปิดเผยเท่าไรนัก เพียงมีการเปลี่ยนแปลงอย่างเงียบๆ

ดาวมฤตยู(๐)ในปีพ.ศ.2558-2565
หลังจากนั้น ดาวมฤตยู(๐)จร โคจรย้ายราศีมาทับลัคนาดวงเมืองและดาวอาทิตย์(๑)กำเนิดในราศีเมษ ตั้งแต่ปีพ.ศ.2558-2565 ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและสถาบันกษัตริย์ตามที่ทราบกันดี

และวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ.2565 นี้ ดาวมฤตยู(๐)จร กำลังจะโคจรย้ายราศีมาสถิตเรือนกดุมภะทับดาวอังคาร(๓)กำเนิดซึ่งเป็นดาวประจำตัว(ตนุลัคน์)ของเมืองไทยหรือเป็นลัคนาที่สองของดวงเมืองนั่นเอง

แต่ดาวมฤตยู(๐)จร ก็ยังโคจรถอยกลับมาทับลัคนาในราศีเมษอีกครั้งระหว่างเดือนธันวาคม พ.ศ.2565ถึงต้นเดือนมีนาคม พ.ศ.2566 ซึ่งอาจมีเหตุการณ์ทางการเมืองสำคัญๆอีกเช่น การเลือกตั้ง ก็เป็นได้ (อันนี้ผมพยากรณ์แถมให้ครับ) หลังจากนั้นจึงจะย้ายไปสถิตเรือนกดุมภะแบบถาวรจนถึงปีพ.ศ.2572กันเลยทีเดียว

ดาวมฤตยู(๐)ในปีพ.ศ.2565-2572
ในช่วงที่ดาวมฤตยู(๐)จร โคจรสถิตเรือนกดุมภะ ตั้งแต่วันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ.2565-2572 พยากรณ์ได้ว่า จะมีการเปลี่ยนแปลงหรือมีความก้าวหน้าของเทคโนโลยีทางการเงินของประเทศไทยอย่างมีนัยสำคัญและเป็นที่เปิดเผยแก่ประชาชนโดยทั่วไป รวมถึงการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองการปกครองก็ยังคงดำเนินต่อไป ไม่มีทางจบลงง่ายๆ

ดังนั้น เราจะมีเวลาประมาณ 7 ปีในการปรับตัว หรือจะพูดให้ชัดเจนก็คือ มีเวลาในการทำกำไรจากคริปโตไม่เกิน 7 ปีนับจากนี้ หลังจากนั้นก็จะมีการเปลี่ยนแปลงด้านอื่นๆต่อไป



การใช้โหราศาสตร์ไทยทำกำไรจากคริปโต

จากการเฝ้าติดตามราคาซื้อขาย โดยส่วนใหญ่แทบทุกสกุลมักจะเป็นไปในแนวทางเดียวกัน ถ้าขึ้นก็ขึ้นพร้อมๆกันหรือไล่เลี่ยกัน ถ้าลงก็จะลงใกล้เคียงกัน แตกต่างกันที่เปอร์เซนต์ขึ้นลงของราคาต่างกัน ...



(โปรดติดตามตอนต่อไป)