สำหรับผมเอง ต้องยอมรับว่าได้แอบตรวจสอบดวงพระชะตาไว้ก่อน และได้เตรียมใจไว้ล่วงหน้าแล้ว เพียงแต่ช่วงเวลาไม่ได้เป็นไปอย่างที่ดูไว้ว่าน่าจะเป็นปีพ.ศ.2560 ซึ่งกว่าจะถึงก็ยังอีกหลายเดือน แต่เหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและกระทันหัน ทำให้ผมเกิดความรู้สึกไม่ต่างจากประชาชนทั้งประเทศครับ
อย่างไรก็ตาม พวกเราทั้งหลายก็ยังคงต้องดำเนินชีวิตกันต่อไปตามแต่บุญแต่กรรมของแต่ละคน และผมขอถือโอกาสนี้ นำเสนอพระอัจฉริยภาพทางด้านโหราศาสตร์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เพื่อให้ทราบว่า วิชาโหราศาสตร์นั้น ไม่ได้มีการศึกษาเฉพาะประชาชนทั่วไปเท่านั้น แม้แต่บุคคลชั้นสูงก็ได้มีการศึกษากันอย่างแพร่หลายด้วยเช่นกัน
และขออัญเชิญดวงพระชะตาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 มาเป็นกรณีศึกษาสำหรับบุคคลที่เกิดในต่างประเทศจะใช้โหราศาสตร์ไทยดูดวงได้หรือไม่และอย่างไร ที่สำคัญเป็นอย่างยิ่งคือ ผมขอมีความเห็นต่างจากโหราจารย์หลายๆท่านในเรื่องของพระลัคนาของพระองค์ท่านครับ
พระอัจฉริยภาพทางด้านโหราศาสตร์ไทย
บอกตามตรง ผมไม่ทราบว่าพระองค์ท่านเริ่มศึกษาโหราศาสตร์ตั้งแต่เมื่อไร และทรงศึกษาจากสถาบันใดหรือโหราจารย์ท่านใดกันแน่ แต่ผมคะเนเอาจากรูปที่ท่านอาจารย์สิงห์โต สุริยาอารักษ์ ได้ถวายหนังสือโหราศาสตร์ไทยแด่พระองค์ท่าน ไม่น่าจะต่ำกว่า40-50ปีผ่านมาแล้ว ผมเชื่อมั่นว่าพระองค์ท่านคงได้ทรงเปิดอ่านไม่มากก็น้อย เพราะพระองค์ท่านทรงสนใจทุกสิ่งทุกอย่างที่พสกนิกรของท่านกำลังทำอยู่ และมักจะทรงช่วยพัฒนาให้ดีขึ้นอยู่เสมอ
สิ่งที่สะท้อนถึงพระอัจฉริยภาพทางด้านโหราศาสตร์ที่เห็นได้อย่างชัดเจนที่สุดคือบทพระราชนิพนธ์เรื่อง "พระมหาชนก" ในปีพ.ศ.2531 ซึ่งในขณะนั้นยังไม่เป็นที่แพร่หลาย พระองค์จึงได้ทรงให้ช่างวาดภาพประกอบในปีพ.ศ.2539 จนมาถึงฉบับการ์ตูนในปีพ.ศ.2542 ซึ่งประสบความสำเร็จมากที่สุดเนื่องจากมีผู้นิยมอ่านเป็นจำนวนมาก ทำให้ผมได้มีโอกาสเห็นภาพประกอบที่เป็นรูปดวงในขณะที่พระมหาชนกได้ทำความเพียรอย่างบริสุทธิ์ด้วยการว่ายน้ำในมหาสมุทรไปยังเมืองมิถิลา
จะเห็นได้ว่าพระองค์ท่านทรงนำความรู้ทางด้านโหราศาสตร์ไปประยุกต์ให้เข้ากับอุทกศาสตร์หรืออุตุนิยมวิทยา เพื่อพยากรณ์สภาพอากาศได้อย่างกลมกลืน ที่สำคัญคือ พระองค์ท่านไม่ได้ทรงใช้โหราศาสตร์อย่างงมงาย ทรงใช้เพื่อประโยชน์ในการทรงงานอย่างมีเหตุมีผลและเป็นประโยชน์กับผู้อื่นรวมถึงพระองค์ท่านเองด้วย
จากรูปดวงที่เป็นภาพประกอบ ผมได้ลองพิจารณาแล้ว เห็นว่าน่าจะเป็นช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม ปีพ.ศ.2537 ซึ่งเป็นช่วงที่พระองค์ท่านทรงกำลังเตรียมภาพประกอบ สังเกตได้ง่ายๆก็คือ ดาวอาทิตย์( ๑ หรือ 1 )สถิตราศีเมษ ดาวพฤหัส( ๕ หรือ 5 )สถิตราศีตุลย์หรือปีจอนั่นเอง
นอกจากโหราศาสตร์ไทยแล้ว พระองค์ท่านยังทรงใช้ความรู้ทางด้านทักษา (ซึ่งผมขอแยกออกมาจากวิชาโหราศาสตร์เนื่องจากหลักการและวิธีการไม่เกี่ยวข้องกับดวงดาวบนท้องฟ้า) มาใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันอีกด้วย
ตัวอย่างเช่น การที่พระองค์ท่านเลือกฉลองพระองค์สีชมพูหลังจากที่ทรงได้รับการรักษาจากโรงพยาบาลศิริราช
เนื่องจากพระองค์ท่านทรงประสูติในวันจันทร์(สีเหลือง) ตามหลักทักษาแล้ว วันอังคาร(สีชมพู)ก็คือสุขภาพร่างกายของผู้ที่เกิดวันจันทร์ ดังนั้นพระองค์ท่านจึงทรงเลือกฉลองพระองค์สีชมพูดังกล่าวแล้ว เพื่อความเป็นสิริมงคลกับพระวรกายและพระพลานามัยของพระองค์เอง
ที่ผมกล่าวมานี้ แสดงให้เห็นว่าพระองค์ท่านทรงมีพระปรีชาสามารถทางด้านวิชาโหราศาสตร์เป็นอย่างดีเลยทีเดียว และยังทรงพระปรีชาสามารถในการพัฒนาเพื่อให้เหมาะสมกับความเป็นสากล โดยสังเกตได้จากรูปดวงในบทพระราชนิพนธ์ข้างต้น จะไม่ทรงใช้ตัวเลขไทย แต่จะทรงใช้ตัวเลขอารบิกแทน เนื่องจากพระองค์ต้องการสื่อให้ผู้อ่านที่ไม่เข้าใจภาษาไทยได้เข้าใจด้วย (มีบทภาษาอังกฤษคู่กับภาษาไทยในบทพระราชนิพนธ์)
เรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่งที่ผมสันนิษฐานว่า พระองค์ทรงต้องการสื่ออะไรบางอย่างในวิชาโหราศาสตร์ อันมิอาจละเลยได้ สิ่งที่พระองค์ท่านทรงสื่อออกมาให้ได้เห็นก็คือเรื่องเกี่ยวกับ ปูทะเลยักษ์ ครับ ทำไมอยู่ๆในบทพระราชนิพนธ์จึงได้ทรงแทรกเรื่องนี้ขึ้นมา ?
อย่างที่ทราบกันดีว่า ปู เป็นสัญลักษณ์ของราศีกรกฎ แล้วราศีกรกฎเกี่ยวกับอะไรกับพระองค์ท่านครับ คำตอบคือ ราศีกรกฎเป็นที่สถิตของพระลัคนาของพระองค์นั่นเอง
นี่เป็นพระอัจฉริยภาพที่แท้จริงของพระองค์ท่าน คือพระองค์ท่านทรงเข้าใจดีว่า ในทางโหราศาสตร์นั้น ตัวตนที่แท้จริงของแต่ละบุคคลคือ ลัคนา อันจะนำไปสู่การพยากรณ์เรื่องราวต่างๆได้อย่างแม่นยำครับ
พระองค์ท่านทรงนำพระลัคนาของพระองค์มาใช้ในการดำเนินเรื่องส่วนหนึ่งได้อย่างชาญฉลาด เพื่อให้ผู้อ่านได้ติดตามเรื่องราวบทพระราชนิพนธ์ได้อย่างสนุกสนานมากขึ้น
แต่อาจมีบางท่านที่มีความรู้ทางด้านโหาราศาสตร์ เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้แล้วอาจไม่เชื่อผมก็ได้ ผมก็เลยจะขออัญเชิญดวงพระชะตาของพระองค์ท่านมาให้วิเคราะห์กันดูว่าน่าจะเป็นตามที่ผมบอกหรือไม่ ในตอนต่อไป